[ รายละเอียด ] เกจิอาจารย์ ขลังแห่งภาคใต้ ผู้ล่วงรู้เหตุการณ์อนาคต มีอภินิหารมากมายล้วนน่าอัศจรรย์ยิ่ง แม้มรณภาพไปแล้วอภินิหารยังปรากฏให้เห็นเป็นที่น่าอัศจรรย์
คลองแห ชื่อคลองซึ่งอยู่ศูนย์กลางของชุมชน คลองสายนี้ชื่อคลองแหก็เพราะมีประวัติอันยาวนาน ซึ่งผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่าสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคนตั้งแต่ครั้งโบราณ ได้รับการบอกเล่าจากรัตตัญูบุคคลล้วนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของตำบลหลายท่าน อาทิ พระอุปัชฌาย์ทอง คงฺฆสฺสโร อดีตเจ้าอาวาสวัดคลองแห ขุนคลองแหหาญกิจ อดีตกำนันตำบลคลองแห นายบุญ เล็กสุทธิ์ และนายหิ้น สิริพันธุ์ ท่านทั้งสี่ที่ได้เอ่ยนามมานี้ ล้วนได้รับการบอกเล่ามาจากผู้เฒ่าผู้แก่แต่กาลก่อน และเป็นผู้คงแก่เรียน เป็นที่เคารพนับถือของคนในตำบลคลองแหมาก เรื่องเดิมมีว่า ในอดีตครั้งที่เขาสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เมืองตะมะลิง (คือเจดีย์วัดมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช ในปัจจุบัน) ทางเมืองตะมะลิงได้ป่าวร้องประกาศไปทั่วทุกหัวเมือง เพื่อให้ประชาชนในหัวเมืองต่างๆ ในตอนใต้แห่งแหลมทองที่เลื่อมใส และนับถือพระพุทธศาสนาให้มาร่วมเฉลิมฉลองในการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ใน พุทธเจดีย์ ฝ่ายประชาชนทางเมืองกลันตัน (ปัจจุบันเมืองกลันตันเป็นเมืองหนึ่งอยู่ในประเทศมาเลเซีย) ซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองตะมะลิงมากกว่าหัวเมืองอื่นก็ได้ รวมผู้คนได้หลายร้อยคนเดินขบวนเท้ามาทางบก เดินทางรอนแรมมาเป็นแรมเดือน ค่ำไหนนอนที่นั่น ครั้นเดินทางมาถึงสถานที่เรียกว่า คลองแห ในปัจจุบันนี้เห็นว่าเป็นสถานที่สบาย พื้นที่เป็นเนินสูงมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมสบาย เป็นคุ้งน้ำใสสะอาด เมื่อพักแรมแล้ววันรุ่งขึ้นก็เตรียมเดินทางต่อไป ขณะจะเดินทางต่อมีขบวนเดินเท้าของคนจำนวนมาก บ่ายหน้าจากทิศเหนือสู่ทิศใต้ สอบถามได้ความว่าเดินทางกลับจากงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เมืองตะมะลิง ได้ทราบว่างานเสร็จสิ้นแล้ว ประชาชนเมืองกลันตันก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเดินทางต่อ ตกลงใจจะเดินทางกลับ แต่มาคิดว่าสิ่งของที่เตรียมมาเพื่อจะนำไปบรรจุเป็นพุทธบูชา เช่น แก้วแหวน เงินทองต่างๆ ที่ตั้งใจทำเป็นพุทธบูชาก็ไม่ควรนำกลับไป จึงอธิษฐานเป็นพุทธบูชา แล้วขุดหลุมฝังไว้ตรงพื้นที่สามเหลี่ยมที่คลองสองสายมาบรรจบกัน คือ คลองลาน (จากทิศตะวันตก) และ คลองเตย (ทิศใต้) แล้วเกิดเป็นคลองสายใหญ่ขึ้นคือ คลองแห สถานที่ฝังสมบัติ ปัจจุบันยังปรากฏเป็นเนินดินสูง มีน้ำล้อมรอบ ชาวบ้านเรียกว่า โคกนกคุ่ม และเชื่อว่าเป็นขุมมหาสมบัติและศักดิ์สิทธิ์ ใครจะทำอะไรไม่ได้ สำหรับ เครื่องประโคมดนตรีต่างๆ ที่แห่มาในขบวน เช่น ฆ้อง กลอง ก็นำมากองไว้ อธิษฐานเป็นพุทธบูชา แล้วจมลงในคลองสายใหญ่นั้น ข่าวนี้ก็เล่าลือกันไปทั่ว แต่นั้นมาชาวบ้านแถบนั้นจึงเรียกคลองนั้นว่า คลองฆ้องแห่ แต่คำว่า คลองฆ้องแห่ มีหลายพยางค์ ซึ่งคนใต้ไม่นิยมพูดคำหลายพยางค์ ต่อมาคำว่าฆ้องได้ขาดหายไป คงเหลือแต่พยางค์หน้ากับพยางค์หลัง เป็นคลองแห่ แต่เมื่อพูดเป็นสำเนียงถิ่นใต้วรรณยุกต์เอกไม่มีคำว่า แห่ จึงพูดเป็น แห จึงเรียกคลองนี้ตามสำเนียงถิ่นใต้ว่า คลองแห มาแต่เดิมนั้นมา
ประวัติวัดคลองแห
วัดคลองแห ตั้งอยู่เลขที่ 123 หมู่ 4 ต.คลองแห อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในอดีตผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า วัดคลองแหเดิม ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวัดปัจจุบัน (ระยะทาง 500 เมตร) อยู่ริมฝั่งคลองแหด้านตะวันออก บริเวณใกล้ๆ กับบ้านนายเกื้อน อินทมะโณ (ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวเป็นของเอกชน ไม่ทราบใครเป็นเจ้าของ) มีพระ ภิกษุยกกลิ่น (ภูมิลำเนาอยู่หมู่ 4) เป็นผู้ก่อตั้งวัด ด้วยเหตุสถานที่เดิมคับแคบ ไม่เหมาะกับการตั้งวัด จึงได้ย้ายมาตั้ง ณ ที่วัดคลองแหปัจจุบันนี้ ที่ดินแห่งใหม่นี้ เป็นที่ดินซึ่งเป็นมรดกมาจากบรรพบุรุษของพระอธิการยกกลิ่นเอง เมื่อท่านได้บรรพชาอุปสมบท และไม่ลาสิกขาแล้ว จึงอุทิศที่ดินแปลงนี้ตั้งวัด (ต่อมาท่านได้เป็นปฐมเจ้าอาวาส) เนื้อที่ ในอนาคตวัดตามปรากฏใน นส.3 ก. มีจำนวน 31 ไร่ 1 งาน 11 ตารางวา (ถ้ารวมเขตคลองทั้งด้านเหนือและด้านใต้ มีประมาณ 40 ไร่) ได้รับเขตวิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ.2450 (กว้าง 15 เมตร ยาว 25 เมตร)
ทิศเหนือ จดคลองแห
ทิศใต้ จดที่ดินเอกชน
ทิศตะวันออก จดที่ถนนสาธารณะ
ทิศตะวันตก จดคลองเตย
ได้ รับการก่อสร้างตั้งวัด เมื่อ พ.ศ.2260 (นับถึงปัจจุบัน พ.ศ.2547 รวมได้ 287 ปีแล้ว) นับเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งวัดมา มีพระภิกษุจำพรรษาติดต่อกันมาตลอด ลำดับเจ้าอาวาสปกครองวัดคลองแห พระอธิการยกกลิ่น มรณภาพ พระอธิการหนอน มรณภาพ พระอธิการปลอด (ปลอด อาคม) มรณภาพ พระอธิการอ้น (อ้น ทองเสน่ห์) ลาสิกขา พระอธิการรุ่ง ปุญญผโล (รุ่ง อนุกูล) ลาสิกขา พระอธิการอั้น (อั้น ไชยถาวร) ลาสิกขา-ถึง พ.ศ.2482 พระอธิการทอง คงฺฆสฺสโร (ทอง มุณีเพชรรัตน์) พ.ศ.2484-พ.ศ.2505 มรณภาพ พระครูอรรถธรรมนาถ (บุญ ภาสโร) พ.ศ.2506-พ.ศ.2541 มรณภาพ (18 ธ.ค.) พระสมพร ฐานธมฺโม พ.ศ.2542-ปัจจุบัน วัดได้รับอนุญาตตั้งเป็นสำนักศาสนาศึกษาแผนกธรรม เมื่อ พ.ศ.2504 หลวงพ่อ ทอง คงฺฆสฺสโร อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ 7 วัดคลองแห เป็นพระที่รักและนับถือของศิษย์และชาวบ้านทั่วไป ท่านเป็นคนดุ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ลงโบสถ์สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น และเป็นพระที่มากด้วยเมตตา โปรดญาติโยมทั่วไปไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ดังเห็นได้จากมีผู้มาขอผ้ายันต์จากท่าน ซึ่งเป็นที่ินิยมนำไปติดร้านค้า ว่ากันว่า เมตตา ค้าขายดีนัก โดยท่านจะเตรียมผ้าผืนสี่เหลี่ยมเอาไว้ และให้พระจวนลงอักขระ ส่งให้ท่านปลุกเสกอีกทีหนึ่งเป็นอันใช้ได้ หรือในปีที่เกิดความแห้งแล้งในหมู่บ้านคลองแห ขาดแคลนน้ำจะทำไร่ทำนา ท่านก็ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือโดยจัดทำพิธีสวดมนต์ขอฝน จัดปะรำพิธีในบริเวณวัดคลองแห เป็นที่กล่าวขานกันว่าฝนตกในช่วงที่ท่านทำพิธีนั้นเลย หรือบ้านไหนที่จะให้ท่านไปสวดขับไล่สิ่งอัปมงคล สิ่งไม่ดี ให้เกิดสิริมงคลกับบ้านหรือผู้อยู่อาศัย ที่ชาวบ้านเรียกว่า สวดบ้าน การสวดชนิดนี้ต้องสวดมนต์หมดทั้งเล่ม และต้องทำพิธีสวดตั้งแต่หัวค่ำไปจนถึงย่ำรุ่งเลยทีเดียว เรื่องราว ความห่วงใยในชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวบ้านนั้น หลวงพ่อทองก็เมตตาเห็นได้จากการตัดถนนให้การคมนาคมมีความสะดวกยิ่งขึ้น โดยท่านได้เป็นผู้นำในการตัดถนน ให้การคมนาคมมีความสะดวกยิ่งขึ้น โดยท่านได้เป็นผู้นำในการตัดถนนจากหน้าวัดคลองแหไปจรดถนนเพชรเกษม (หน้าธนาคารชาติปัจจุบันนี้) โดยมีชาวบ้านร่วมกับศิษยานุศิษย์จำนวนมากมาช่วยท่านทำถนน ใครมีเครื่องมือทั้งจอบ เสียม มาช่วยด้วยความสามัคคี และตั้งชื่อถนนนี้ว่า ถนนอนุสรณ์อาจารย์ทอง เมื่อ พ.ศ.2503 หลังจากหลวงพ่อทองพัฒนาวัดคลองแหให้เจริญขึ้นมาแล้ว ท่านอาจารย์ได้มาจำพรรษา ณ สำนักสงฆ์ม่วงสาวตีอก ในวันหนึ่งท่านได้ยืนมองสภาพแวดล้อมภายนอกสำนักสงฆ์อยู่นั้น ท่านได้พูดเปรยกับพระจวน ปญญาธโร ว่า ต่อไปแถวนี้จะเป็นสี่แยกถนนตัดผ่าน มีความเจริญมาก ด้านหนึ่งไปพัทลุง (ด้านตะวันตก) ด้านหนึ่งไปสงขลา (ด้านตะวันออก) ด้านหนึ่งไปโรงพยาบาลหาดใหญ่ (ด้านใต้) ด้านหนึ่งไปบ้านหาร (ด้านทิศเหนือ) หลวงพ่อทองพูดพร้อมยกมือชี้นิ้วประกอบ กาลผ่านมาถึง พ.ศ.2524 (รวมระยะเวลา 21 ปี) ทางหลวงก็มาตัดถนนลพบุรีราเมศร์ยังความเจริญมาสู่บ้านคลองแห ดังที่ท่านพูดจริง อีกเรื่องหนึ่งคือ หลวงพ่อทองเคยพูดสั่งกับพระจวน ปญญาธโร ว่า ถ้าท่านบวชอยู่วัดนี้แล้วไม่สึก อย่าเป็นท่าน เพราะจะพาวัดไม่รอด วัดนี้คนจะเป็นท่านได้ต้องเป็นบ่าว คำว่าเป็นท่าน คือเป็นเจ้าอาวาส คำว่าเป็นบ่าว คือ เป็นคนโสด (ไม่ผ่านการแต่งงาน) จนถึงปัจจุบันนี้ พระปลัดจวน ปญญาธโร ก็ยังคงอยู่วัดคลองแห และยังเป็นรองเจ้าอาวาสอยู่ ทั้งที่พรรษาท่านมากกว่าพระทุกรูปในวัด ปัจจุบันพระปลัดจวน ปญญาธโร อายุ 80 ปี พรรษาที่ 22 อนึ่ง ก่อนมาบวช พระปลัดจวนเคยผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว จึงเชื่อฟังคำอาจารย์ด้วยความเคารพและได้ปฏิบัติตามเสมอมา หลวงพ่อ ทอง คงฺฆสฺสโร นับได้ว่าเป็นพระผู้มีความกตัญูองค์หนึ่ง ซึ่งเห็นได้จากจริยวัตร การอุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์ของท่าน การจัดงานประชุมเพลิงพระอุปัชฌาย์ของท่านด้วยความเคารพ การจัดงานอย่างสมพระเกียรติด้วยความเรียบร้อย แม้ภายหลังหลวงพ่อทองยังได้ก่อสร้างบัวบรรจุอัฐิอดีตเจ้าอาวาสของวัดคลองแห อันประกอบด้วย อัฐิธาตุพระยกกลิ่น อัฐิธาตุพระท่านหนอน อัฐิธาตุหลวงพ่อปลอด อาคม (อดีตเจ้าอาวาสผู้ครองวัดคลองแหและเป็นผู้ที่ท่านนับถือเป็นอาจารย์) บรรจุในบัว ประดิษฐานหน้าวัดคลองแหเด่นเป็นสง่าเป็นที่เคารพกราบไหว้เป็นสิริมงคลแก่ผู้ ได้ไปกราบไหว้โดยทั่วไป หลวงพ่อทองได้สร้างอนุสาวรีย์ (บัว) บรรจุอัฐิโยมพ่อ-โยมแม่ของท่านที่วัดอัมพวัน เมื่อวันที่ 7 เม.ย. พ.ศ.2480
เหรียญรุ่นแรก
สำหรับเหรียญรูปเหมือน หลวงพ่อทองไม่เคยได้สร้างไว้ก่อนเลย เหรียญรุ่นแรกของท่านที่สร้างขึ้น ก็เป็นการสร้างหลังจากท่านได้มรณภาพไปแล้ว หรือที่วงการเรียกว่า เหรียญตาย สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสบรรจุอัฐิของท่านเมื่อ ปี พ.ศ. 2507 โดย พระอาจารย์บุญ หรือ หลวงพ่อบุญ เจ้าอาวาสในสมัยนั้นเป็นผู้สร้างขึ้น ปลุกเสกหมู่ โดยพระอาจารย์ที่มาในงานฌาปนกิจศพหลวงพ่อทอง ซึ่งล้วนแต่เป็นพระอาจารย์ชาวใต้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้น หนึ่งในนั้นที่จะขอเอยชื่อคือ พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน จำนวนการสร้าง
เนื้อทองเหลือง 2,500
เหรียญ เนื้ออัลปาก้า 2,500 เหรียญ
รวม 5,000 เหรียญ
ลักษณะเหรียญ เป็นเหรียญรูปเสมา ขนาดสูง 3.3 ซม. กว้าง 2.3 ซม. ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อทอง ครึ่งองศ์ พาดผ้าสังฆฏิซึ่งช่างแกะได้แกะรูปหลวงพ่อทองเหมือนองค์จริงท่านมาก โดยรอบขอบเหรียญ มีจุดไข่ปลาทั้งซ้ายและขวา ด้านละ 19 เม็ด รวมสองด้าน38 เม็ด ใต้องค์หลวงพ่อทองมีอักษรไทยเขียนว่า หลวงพ่อทอง คงมสสโร ด้านหลังเหรียญ ส่วนบนเขียนว่า ที่ระลึกในงานบรรจุอัฐิ ถัดลงไปเป็นหัวใจพระธรรมต่างๆ เขียนเป็นภาษาขอม ถัดลงไปเป็นตัวเลขไทย ๒๕0๗ อันหมายถึงปีที่สร้าง แถวล่างสุดเป็นตัวหนังสือไทย โค้งเกือบจะเป็นวงกลม ตามขอบเหรียญ อ่านได้ว่า หลวงพ่อทอง คงมสสโร วัดคลองแห อ.หาดใหญ่ จ. สงขลา เหรียญรุ่นสอง เนื่องจากเหรียญรุ่นแรก ที่ออกเป็นทีระลึกในการบรรจุอัฐิหลวงพ่อทอง นั้น ได้มีผู้นำไปใช้แล้ว เกิดประสบการณ์ต่างๆ นานา เป็นที่เลื่องลือกันมาก ทั้งในหมู่ลูกศิษย์ลูกหา และชาวบ้านโดยทั่วไป ข่าวลือไปทั่วเมืองหาดใหญ่ ทำให้ชาวหาดใหญ่พากันไปยังวัดคลองแหไม่เว้นแต่ละวัน ไปทำบุญบูชาเหรียญหลวงพ่อทองกัน ทำให้เหรียญรุ่นแรกที่สร้างไว้นั้นหมดไปจากวัด จึงสร้างเหรียญรุ่นสองขึ้นตอนปลายปี 2507 ลักษณะเหมือนเหรียญรุ่นแรก และเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ด้านหลังของเหรียญก็ได้ใส่ข้อความเพิ่มลงไปด้วยว่า รุ่น ๒ ต่อท้ายข้อความเดิมว่า ที่ระลึกในงานบรรจุอัฐิ เห็นบอกมาว่าเหรียญรุ่นสองนี้สร้าง 20,000 เหรียญ สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เหรียญทั้งสองรุ่นนี้ก็มีผู้นำเอาไปใช้แล้วเกิดประสบการณ์มากมาย โดยเฉพาะด้านเมตตาค้าขาย และโชคลาภ เป็นที่เลื่องลือกันและบางคนก็เชื่อกันว่าชื่อของหลวงพ่อ ทอง นั้น เป็นสิริมงคลนาม ใครนำไปใช้ด้วยใจอันศรัทธา นำไปใช้ในทางถูกต้อง จะอธิษฐานสิ่งใดก็มักจะได้ผลสำเร็จเสมอ |