หน้าร้าน  :  Gallery สินค้า  :  ข่าวสารจากร้านค้า  :  วิธีการชำระเงิน  :  ติดต่อร้าน  :  บทความ
เจ้าพระยาพระเครื่อง
ลำดับที่เยี่ยมชม

Online: 62 คน
ยินดีต้อนรับ เข้าสู่ : เจ้าพระยาพระเครื่อง

รายละเอียดร้านค้า

ชื่อร้านค้า เจ้าพระยาพระเครื่อง
ชื่อเจ้าของ Weerapong prommontree/วีรพงศ์ พรหมมนตรี(อ้น ระโนด)
รายละเอียด Sale thai amulet as well as share information and knowledge about Thai amulet to interesting persons particularly foriegners./ให้บูชาพระเครื่องและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับพระเครื่องในเรื่องประวิติเกจิ
เงื่อนไขการรับประกัน เก๊คืนเต็มจำนวน หากคืนพระในสภาพเดิม ภายใน 7 วัน คืน 100 % ภายในสองสัปดาห์ คืน 75 % ภายใน 1 เดือน คืน 50 % / Refund schedule with in 7 days 100 % , with in 14 days 75 % , with in 30 days 50 %
ที่อยู่ Weerapong prommontree 165/91 Senbordee Pimolrach Bangboutong, Nontaburi 11110/วีรพงศ์ พรหมมนตรี 165/91 ซ 26 หมู่บ้านสินบดี ต. พิมลราช อ บางบัวทอง จ. นนทบุรี 11110
เบอร์ที่ติดต่อ 081-6414009,029243140 ( อ้น ระโนด ) line ID weerapong07
E-mail eon_werapong123@hotmail.com
วันที่เปิดร้าน 01-01-2554 วันหมดอายุ 01-01-2568

ท่านสามารถชำระเงิน ผ่านทางธนาคาร อีแบงค์กิ้ง หรือ ตู้ ATM ตามบัญชี ด้านล่าง

ธนาคาร
สาขา
ชื่อบัญชี
เลขที่บัญชี
ประเภทบัญชี
กสิกรไทย สำเหร่
นายวีรพงศ์ พรหมมนตรี
032-2-93420-3
ออมทรัพย์
กรุงไทย บางบัวทอง
นายวีรพงศ์ พรหมมนตรี
121-0-28494-4
ออมทรัพย์
กรุงเทพฯ งามวงศ์วาน
นายวีรพงศ์ พรหมมนตรี
917-004262-7
ออมทรัพย์

วัตถุมงคล: เครื่องราง - ของขลัง
พระขรรค์โสฬส สุดยอดของขลัง ของกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์
04-09-2554 เข้าชม : 9531 ครั้ง

[ ชื่อพระ ] พระขรรค์โสฬส สุดยอดของขลัง ของกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์
[ รายละเอียด ] พระขันธ์โสฬส คือศาสตราวุธ ที่หลวงปู่ศุข ท่านได้อัญเชิญทวยเทพ ทั้ง16ชั้นฟ้า มาอำนวยพร ในการทำพิธีกรรมในการจัดสร้างที่มีพิธีเข้มขลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา
  • พระขันธ์โสฬส จึงจัดเป็นเทพศาสตราวุธ อย่างแท้จริงโดยจำลองรูปแบบมาจากพระขรรค์โบราณของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเสด็จในกรมได้นำมาจากในวัง เพื่อเป็นต้นแบบ ซึ่งมีลักษณะที่สวยงามมากๆ
  • อีกทั้งมีพิธีกรรมในการจัดสร้างที่เร้นลับ ซับซ้อน ยิ่งกว่ามีดหมอ และเครื่องรางของขลังใดๆ ที่เคยมีการจัดสร้างมา ซึ่งเชื่อกันว่า มีเพียงแค่ 7เล่มเท่านั้น
  • เมื่อสร้างเสร็จแล้ว เสด็จในกรม ท่านได้ถวายคืนให้ หลวงปู่ศุขหนึ่งเล่ม ซึ่งพระขรรค์เล่มนี้เองได้สร้างความมหัศจรรย์ให้ปรากฎแก่สายตา ของผู้ที่ได้พบเห็นมามากแล้ว และหนึ่งในนั้นก็คือ ท่านขุนพันธ์ นั่นเอง
  • ก่อนอื่นขอเล่าถึงประวัติ และการจัดสร้างพระขรรค์โสฬส ที่ยิ่งใหญ่ และลึกลับมหัศจรรย์ นี้ก่อนนะคะ
  • พระขรรค์โสฬสนี้ มีความยาว 7นิ้ว ถ้ารวมด้ามด้วยก็จะยาว 11นิ้ว ตัวพระขรรค์ ทำจากยอดเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงปู่ศุข ท่านได้รวบรวมไว้นานแล้ว ผสมกับโลหะมงคล และวัสดุอาถรรพ์ อีกหลายชนิด
  • โดยในการหล่อโลหะ ก่อนนำมาตีเป็นพระขรรค์นั้น เสด็จในกรมท่านได้ ทรงนำเครื่องทองนากส่วนพระองค์ เทผสมลงไปเป็นมงคลอีกต่างหาก ผสมกับแผ่นทองคำ เงิน และะนาก ที่จารึกอักขระโดยหลวงปู่ศุข ทำพิธีปลุกเสก ข้ามพรรษา
  • ที่ตัวพระขรรค์ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง จารึกอักระ และเลขยันต์ ประจำตัว ของหลวงปู่ศุขมีผู้ถอดความเป็นภาษษขอม ออกมามีความหมาย บอกเล่า ความเป็นมา ของพระขรรค์ ลึกซึ้งมาก 
  • ด้ามพระขรรค์ ทำจากฝักคูน ตายพราย ภายในแก่นพระขรรค์ บรรจุกระดูกผีและเส้นผม ผีตายโหง7ป่าช้า กับของอาถรรพ์อีกหลายอย่าง เมื่อสร้างพระขรรค์เสร็จเป็นเล่มสมบูรณ์แล้ว หลวงปู่ศุขท่านได้ทำพิธีปลุกเสกเดี่ยว นานตลอดพรรษาก่อนที่จะนำมาถวายให้แด่เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
  • ทั้งนี้เป็นที่เข้าใจกันว่า พระขรรค์โสรฬสนี้ อยู่ที่เสด็จในกรมฯหนึ่งเล่ม หลวงปู่ศุขหนึ่งเล่ม ส่วนเล่มที่เหลือ อีก5 เล่ม อยู่กับพระบรมวงศานุวงษ์ ซึ่งไม่มีใครได้พบเห็นพระขรรค์ทั้ง5เล่มนั้นอีกเลย
  • ในขณะที่พระขรรค์ประจำพระองค์ เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ นั้นมีผู้พบเห็นทรงใช้ เป็นศาสตราวุธ  ประจำพระองค์ ในบางครั้งโดยเฉพาะเวลาทรงเดินทางออกทะเล
  • ส่วนพระขรรค์โสฬสเล่มที่อยู่กับหลวงปู่ศุขต่อมาได้ตกทอด มาอยู่ในครอบครอง ของหลวงตาแววลูกศิษย์ก้นกุฎิ ของหลวงปู่ศุข
  • เมื่อหลวงปูู่ศุขได้มรณะภาพแล้วหลวงตาแววได้นำพระขรรค์โสฬส ติดตัวออกจากวัดปากคลองมะขามเฒ่ามาด้วย และพระขรรค์นี้เป็นเครื่องรางของขลังที่หลวงตาแววรักกและหวงแหน มากที่สุด โดยจะนำใส่ย่าม หรือพกไว้ที่เอว ตลอดเวลา
  • ความอัศจรรย์ของพระขรรค์นี้มีมากมาย สามารถใช้ได้สารพัดนึก มีความคงกระพัน สามารถแก้ไข และป้องกันคุณไสย ทำน้ำมันมนต์ไล่ภูติผี ปีศาจ และที่สำคัญเป็นมหาอุด ปกป้องคุ้มครองอันตราย ได้ทั้งหมู่คณะ
  • หลวงพ่อหลิมเคยเล่าว่าเมื่อคราวที่เกิดพายุกลางทะเล เสด็จในกรมฯ ท่านเคยอธิษฐานใช้พระขรรค์นี้กวัดแกว่งเพื่อสลายคลื่นลม ได้ผลมาแล้ว
  • ภายหลังจากหลวงตาแววมรณะภาพไป พระขรรค์เล่มนี้ ตกทอดไปยังลูกศิษย์ จนเกิดการ ยื้อแย่งกันและน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ในช่วงหนึ่งพระขรรค์นี้ได้ตกไปอยู่ในหมู่โจร ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ท่านขุนพันธ์เดินทางกลับจากภาคใต้แล้ว
  • ขุนพันธ์ท่านเคยขอดาบเล่มนี้จากหลวงตาแวว แต่ท่านผัดผ่อนไว้ก่อน จนท่านมรณะภาพ ขุนพันธ์ได้เพียรพยายามหาพระขันธ์ที่เหลืออยู่แต่ก็ไม่พบ ทั้งได้ให้เพื่อนสนิทที่พิจิตรช่วยตามหาพระขรรค์เล่มของหลวงปู่ศุขด้วย ซึ่งทราบมาภายหลังว่าลูกศิษย์ ของหลวงตาแววซึ่งเอาดีทางนักเลง เป็นผู้ขโมย ต่อๆกันไป จนในที่สุด ไปตกอยู่ที่ชุมโจรแห่งหนึ่ง
  • จากคำบอกเล่าของเสือออง ซึ่งปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ (ได้กลับตัวเป็นคนดีแล้ว) ได้เล่าไว้ว่าตนเองและพรรคพวกโจรได้ผลัดกันถือพระขรรค์นำหน้ากองโจร เวลาออกปล้น เคยปะทะกับเจ้าทรัพย์และตำรวจ แต่กระสุนปืน ไม่สามารถ ทำอะไรพวกเขาได้ หากโดนจ่อยิงใกล้ๆ ปืน ก็จะไม่ลั่น หรือไม่ดังหากอยู่นอกรัศมีออกไป กระสุนก็จะพลาดเป้าหมายไปหมด 
  • เสืออองเล่าถึง การลองของความศักดิ์สิทธ์ของพระขรรค์เล่มนี้ ด้วยการใช้ปืนนานาชนิดมายิงเพื่อทดสอบ แต่กระสุนปืนไม่ลั่น แม้แต่นิดเดียว
  • การที่พระขรรค์ไปอยู่ในมือโจรนั้น ต้องใช้เวลานานหลายปีเลยทีเดียว กว่าจะแย่งเอากลับคืนมาได้
  • โดยหลวงพ่อหลิมได้ให้ศิษย์รุ่นน้องของท่านขุนพันธ์ ผู้หนึ่งซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจมือปราบ ชาวพิจิตร ปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว ออกติดตามหา เกิดการปะทะต่อสู้กัน อยู่นานหลายปีจึงยึดพระขรรค์นี้มาจากมือโจรได้
  • และหลังจากนายตำรวจท่านนี้เกษียณอายุราชการแล้วพระขรรค์นี้ก็ตกไปเป็นของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ต่อไป
  • และจนในวาระสุดท้าย ท่านขุนพันธ์ท่านก็ยังไม่มีโอกาสได้ครอบครองพระขรรค์โสฬสเล่มนี่ อยู่นั่นเอง
  • เรื่องราวต่างๆนี้ เป็นการถ่ายทอดจากคำบอกเล่า ต่อๆกันมาส่วนเรื่องราวจะเท็จจริงยังไงโปรดใช้วิจจารณญารในการรับฟังข้อมูลกันดูเอาเองนะคะเพื่อนๆทุกๆคน

เสือไท..จอมดาบ ที่ท่านขุนพันธ์ ยอมก้มกราบ

เล่ากันว่าเสือไท หรืออดีตทหารมหาดเล็กไท คนนี้ อดีตเป็นทหารคนสนิท ของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษ เพราะเนื่องจากในจำนวนทหารมหาดเล็ก ที่ใกล้ชิดทั้งหมด มหาดเล็กไท เป็นผู้มีความรู้ทางไสยศาสตร์ และมีคาถาอาคม ถูกพระทัย เสด็จในกรมเป็นอย่างยิ่ง

ต่อมาในช่วงสมัยรัชกาลที่6 มหาดเล็กไท ประสบวิบากกรรม ต้องหาคดีอาญาร้ายแรง ต้องระหกระเหิน หลบหนี กลายเป็นเสือ ที่ทางราชการต้องการตัวเป็นอย่างมาก

จนแผ่นดินไท นี้ไม่กว้างขวางพอให้เสือไท ได้หลบซ่อนตัว เขาจึงต้องข้ามเขตชายแดนไปหลบซ่อน ที่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่ลาว เขมร มาเล สิงคโปร์

ในช่วงนี้เอง ที่เสือไท ได้ใช้วิชาไสยศาสตร์ที่มีอยู่ ทั้งวิชา อยู่ยงคงกระพัน ล่องหน หายตัว หลีกหนี การจับกุม ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปได้ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

เนื่องจากเสือไท มิใช่เสือร้าย โดยกมลสันดาน ท่านจึงหลีกเลี่ยงไม่ต้องการที่จะปะทะ กับ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง เสือไท ไม่เคยปล้นคนดี ไม่เคยฆ่าเจ้าทรัพย์  หรือข่มเหงชาวบ้าน

เสือไท จึงเป็นเสือร้าย ที่หนี คดีอาญา มากกว่าเป็นเสือปล้น

แต่ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดัง จนคับฟ้า ในสมัยนั้น ทำให้มีผู้ นำชื่อเสือไท ไปใช้ ในทางที่ไม่ดี   ไปก่อคดีปล้นฆ่า ในหลายจังหวัด

ทำให้เสือไทตัวจริง ทนอยู่ไม่ไหว จึงต้องออกไปจัดการกับเสือไทตัวปลอมโดยการฆ่าตัดหัว ทุกราย จนไม่มีใครกล้า นำชื่อเสือไท ไปปล้นฆ่าใครอีก

ท่านขุนพันธ์ ทานได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับเสือไทดี ตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะเข้ามารับตำแหน่ง ผู้บังคับกองตำรวจภูธรที่จังหวัดพิจิตร

เนื่องจากผู้ให้ข้อมูลลับ กับท่านขุนพันธ์นั้น คือข้าราชการระดับสูงทางภาคใต้ ซึ่งเป็นอดีตทหารมหาดเล็กของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ และเป็นหนึ่งในทหารเสือ ของเสด็จในกรมฯ และเป็นผู้ที่รู้จักกับเสือไท เป็นอย่างดี

เมื่อสิ้นเสด็จในกรมฯ เสือไทได้หลบหนี หลบซ่อนตัวในหลายจังหวัด จนคดี หมดอายุความเสือไท ได้เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่ เดินทางเข้ามาใช้ชีวิต ในบั้นปลาย ที่จังหวัดพิจิตร

ด้วยเหตุนี้ ชาวพิิจิตร จึงไม่รู้จักเสือไท ทราบกันแต่ว่า ที่หมู่บ้านจรเข้ผอม ตำบลรังนก อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตรมีผู้เรืองอาคม และมีวิชาแก่กล้า มาอาศัยอยู่ ทุกคนเรียกชายสูงอายุนี้ว่าพ่อหลิม 

และชื่อพ่อหลิมนี้ก็คือ ชื่อใหม่ของเสือไท

ท่านขุนพันธ์ ใช้เวลานานสองปี กว่าจะได้พบพ่อหลิม โดยขุนพันธ์ต้องพิสูจน์ตัวเองหลายอย่าง ให้พ่อหลิม เชื่อใจ ก่อนที่จะรับท่านขุนพันธ์เป็นศิษย์ และสอนวิชาให้

เป็นที่ทราบกันดี ว่าพ่อหลิม หรือเสือไท เป็นผู้มีวิชาแก่กล้า ได้ร่ำเรียนวิชา มาจากพระเกจิอาจารย์หลายรูป อาทิ หลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอก หลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน รวมทั้งอาจารยที่เป็นฆารวาส อีกหลายคน

กล่าวกันว่า วิชา ที่ท่านขุนพันธ์ ยังขาดอยู่และมีความประสงค์ อยากที่จะเรียนมากๆ คือวิชา คัดของ คัดธาตุทั้ง4ออกจากตัวคน ที่มีวิชาอาคม หรือคัดออกจากเครื่องรางของขลัง

เนื่องจากท่านขุนพันธ์เห็นว่ามีคนที่มีวิชาอาคม หลายๆคน ที่ท่านใช้ปืนจัดการกับเขาเหล่านั้นไม่ได้

วิชาคัดของนี้เป็นสุดยอดวิชา คงกระพันชาตรี ที่เกจิอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่ยอมสอนให้ศิษย์โดยตรง ๆเนื่องจากถือว่าเป็นวิชาฆ่าคน ผิดศีล5ข้อที่1ที่ผู้สอนอาจถึงกับเสื่อมวิชา ที่มีอยู่ในตัวได้

นอกจากวิชานี้แล้วยังมีวิชากระสุนคด ที่เกจิอาจารย์จะไม่อยากสอนให้ใครง่ายๆ กระสุนคดเป็นวิชา ที่ยิงปืนเพียงนัดเดียว สามารถฆ่าคนได้ทั้งกองทัพ

ซึ่งวิชานี้ เสด็จในกรม ท่านเคยกราบขอเรียนกับหลวงปู่ศุข แต่หลวงปู่ศุขท่านไม่ยอมสอน แต่เมตตา แสดงให้เสด็จในกรมได้เห็นว่าวิชานี้ เป็นวิชา ที่ทำได้จริง

โดยเมือหลวงปู่ศุขใช้วิชานี้ ยิงปืนไปที่สระบัวใบ ที่วังนางเลิ้ง เพียงครั้งเดียว ทำให้ใบบัวนั้น ทะลุได้หมดทุกใบเลยทีเดียว 

แต่วิชานี้ เสือไท หรือพ่อหลิม เรียนได้สำเร็จ และทำได้จริงเรียนมาจากอาจารย์ท่านใด ไม่เป็นที่เปิดเผย

เกี่ยวกับวิชาคัดของคือ เมื่อผู้ใช้วิชานี้ ว่าคาถา และเล็งปืนไปยังร่างคนที่เราจะฆ่า หากคาถาได้ผล ร่างที่ตกเป็นเป้าหมายนั้นจะขยายใหญ่ขึ้นมารับศุนย์ปืน แต่ถ้าไม่ได้ผล ร่างนั้นก็จะย่อเล็กลง แสดงว่าผู้ที่เป็นเป้าหมายนั้น มีของดีคุ้มตัว

ชื่อเสียงของพ่อหลิม ในเรื่องของวิชาคัดของนี้ มีอยู่ว่า ที่วัดจรเข้ผอม ที่ริมแม่น้ำยม ฝั่งตรงข้ามบ้านพ่อหลิม  มักจะมีพวกร้อนวิชา  นำพระเครื่อง และเครื่องรางของขลัง ของตนเอง แต่ละคน มาทดสอบกัน เป็นประจำ เสียงปืน สร้างความรำคาญให้แก่พระเณร และชาวบ้าน และหลวงพ่อหลิมด้วย

จนหลวงพ่อหลิมทนไม่ไหว เข้าไปดู แล้วบอกพวกร้อนวิชาเหล่านั้นว่า จะลองของไปทำไม กัน ของดีก็คือของดี ถึงเวลาก็รู้เอง

แต่คนเหล่านั้น ก็ยังยืนยัน ว่าของขลังของตนแน่ และจะลองของกันต่อไป พ่อหลิมเลยขอลองบ้าง โดยบอกให้เอาของขลังที่ว่าแน่ๆ มาวางรวมกัน  แล้วให้เจ้าของเครื่องรางคนหนึ่ง ไปหยิบปืนลูกซอง ที่พวกเขาว่ายิงของขลังไม่ได้ ทำยังไงก็ยิงไม่ออกนั่นเอง มาใช้เป็นอาวุธ

หลวงพ่อหลิมพนมมือ กันหายใจว่าคาถา คัดของ คัดธาตุ แล้วเล็งกระบอกปืน ไปที่ของทั้งหมด แล้วเหนี่ยวไก ปืนลั่น ดังสนั่นเลย ของขลัง ทั้งกมด แตกกระจาย กระเด็นหายไปในอากาศ ท่ามกลาง ความตกตะลึง ของทุกคน เจ้าของ ของขลังบางคนถึงกับร้องไห้ เสียดาย ของขลังของตนเอง 

จากนั้นก็ไม่มีใครมาลองของให้หนวกหู พ่อหลิม อีกเลย

จอมโจรจอมอาคม "เสือไท" จากหนังสือของโอฆะบุรี

เรื่องราวของ เสือไท ที่จะเล่าย่อๆ ต่อไปนี้ สรุปความมาจาก หนังสือจอมโจรอาคม เสือไท ทหารเสือกรมหลวงชุมพรฯ ฉบับย่อ โดยอ้างอิงจาก หนังสือที่เรียบเรียงโดย โอฆะ บุรี พิมพ์ครั้งที่ 1 ในเดือนมีนาคม 2551 โดย สำนักพิมพ์อุทยานความรู้ ISBN 978-974-05-4262-9

คำนำของผู้เขียนตอนหนึ่งที่อยากเกริ่นนำไว้ ณ. ที่นี้ ได้แก่
"..จอมโจรอาคมเสือไท ทหารเสือกรมหลวงชุมพรฯ เป็นบุคคลผู้มีชีวิตลึกลับซับซ้อนที่สุดในบรรดาประวัติความเป็นมาของจอมโจรที่ถูกตราหน้าว่าเป็น เสือ ที่เคยมีมาทั้งหมดในประเทศไทย

     ข้อมูลเกี่ยวกับเสือไทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ความจริงนั้นควรเรียกว่าความทรงจำอันยาวนาน ที่ซึมซับมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก....ภาพชายศสูงอายุมีผมสีดอกเลาจัดหวีเรียบร้อย พูดน้อยและดูเคร่งขรึม สุภาพ แต่มีความน่าเคารพยำเกรงอยู่ในตัว เคยเดินทางมาที่บ้าน และไปไหนมาไหนกับบิดาของข้าพเจ้าบ่อยๆ พ่อหลิม เป็นคำเรียกขานที่บิดาและมารดาตลอดจนผู้ใหญ่ ในบ้านของข้าพเจ้าเรียกชายสูงอายุผู้นี้ด้วยความเคารพ.....ในหมู่ผู้ใกล้ชิดและผู้ที่เป็นลูกศิษย์ต่างเข้าใจกันดีว่าหมายถึง เสือไท จอมโจรชื่อดังที่มาหลบซ่อนอยู่ที่จังหวัดพิจิตร

     เสือไท เป็นบุคคลที่กำเนิดจากครอบครัวของผู้ที่มีฐานะ เดินสู่เส้นทางนักเลง ร่ำเรียนไสยเวทอาคมและวิชาการต่อสู้เกือบทุกรูปแบบก่อนถวายตัวเป็นมหาดเล็กของ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงค์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ บิดาแห่งกองทัพเรือไทย ต่อมาภายหลังชะตาชีวิตได้หักเหกลายเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาร้ายแรงต้องหนีข้ามน้ำข้ามทะเล
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังได้รับความนับถือยกย่องให้เป็น สุภาพบุรุษเสือ ถึงขนาดยอดมือปราบขมังเวทย์อย่าง พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช รวมทั้งตำรวจมือปราบและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอีกหลายคนในยุคนั้นยังต้องฝากตัวเป็นลูกศิษย์ 

    เรื่องราวชีวิตของเสือไทนี้ มีความเกี่ยวข้องกับบริบททางสังคมและผู้คนร่วมสมัยเดียวกัน เป็นส่วนหนึ่งของเกร็ดประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ สะท้อนให้เห็นในอีกมิติหนึ่งของสังคมไทยในอดีต

ตำนานเจ็ดทหารเสือ

    ทหารเสือกรมหลวงชุมพรฯ ในความหมายแรก น่าจะหมายถึงนายทหารเรือทั้งหมดที่เป็นลูกศิษย์ของเสด็จในกรมฯ ที่ได้รับการฝึกสอนด้วยพระองค์เอง รวมถึงทหารเรือชั้นประทวนที่ประจำการร่วมสมัย หลายคนมาจากมหาดเล็กที่ถวายตัวรับใช้พระองค์.....เกือบทุกคนสักคำว่า ร.ศ. 112 ตราด ที่หน้าอก เพื่อเตือนใจตัวเองไม่ให้ลืมวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ที่ฝรั่งเศสบุกน่านน้ำไทยจนเกิดยุทธนาวี ผลที่สุดไทยต้องจำใจจำยอมให้ฝรั่งเศสครอบครองจังหวัดจันทบุรีและตราด ก่อนจะเสียดินแดนบางส่วนด้านมณฑลบูรพาฝั่งซ้ายแม้น้ำโขง และดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง เพื่อแลกสองจังหวัดกลับคืนมา....เป็นความขมขื่นที่ไม่มีวันลืม....

    ทหารเสือในความหมายที่สอง ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า เจ็ดทหารเสือ  มีด้วยกันทั้งหมด 7 คน มียศตั้งแต่นายทหารสัญญาบัตรไปจนถึงพลทหาร ทั้งเจ็ดทหารเสือมีคำล่ำลือในด้านเชี่ยวชาญไสยเวทอาคมและวิชาการต่อสู้เป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ ประการสำคัญนอกจากมีรอยสักคำว่า  ร.ศ. 112 ตราด ที่หน้าอกแล้ว ทหารเสือทั้งเจ็ดคนจะต้องมีรอยสักอักขระขอม ปรากฎที่ท้ายทอยหรือต้นคอทุกคน

     พ่อหลิม หรือ เสือไท เล่าว่าตนเองเป้นมหาดเล็กปลุกบรรทม มีหน้าที่ดูแลเรื่องเครื่องบรรทม และคอยปลุกเสด็จในกรมฯ ตามที่ทรงรับสั่ง หน้าที่นี้เองทำให้เขาเป็นมหาดเล็กใกล้ชิดและอยู่ในเหตุการณ์ในวันสิ้นพระชนม์.

มหาดเล็กหลิม ได้เล่าเหตุการณ์ในวันที่ต้องสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ด้วยข้อมูลที่แตกต่างไปจากที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์.....

     ในตอนสายวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 เป็นช่วงเวลาที่เสด็จไปพักผ่อนในที่ประทับที่สร้างขึ้นอย่างเรียบงาย ที่หาดทรายรี จังหวัดชุมพร ทรงประทับรักษาพระองค์จากไข้หวัดใหญ่ เสด็จในกรมฯ ทรงมีรับสั่งให้คนใกล้ชิดเข้าเฝ้าทีละคน......หลังจากประทานปืนยาวให้เขาโดยทรงสำทับว่า ๒อย่านำไปฆ่าคน..ให้เป็นที่ระลึก  แล้ว ทรงรับสั่งให้นำธูปและดอกไม้มาถวายเพื่อจะไหว้พระ ซึ่งทรงปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน...ทรงรับสั่งว่า สิบเอ็ดโมงวันนี้ไม่ต้องเข้าไปปลุก  ตามปกติในระหว่างประชวร จะทรงตื่นบรรทมมาเสวยพระโอสถในช่วงนี้......

    เวลาผ่านไปราว 3 ชั่วโมง ในห้องบรรทมเงียบจนได้ยินเสียงสวดมนต์ดังออกมาเบาๆ แล้วเงียบหายไปพักใหญ่ จึงเห็นควันธูปลอยออกมาตามช่องลมและพระแกลมากจนผิดสังเกต....มีใครคนหนึ่งสั่งให้เปิดประตูเข้าไปดูพระองค์ แล้วภาพที่เห็นก็คือ...
   พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงค์กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย เสด็จในกรมฯ และ เจ้าพ่อ ของลูกหลานไทยทุกคน....ได้สิ้นพระชนม์อย่างสงบ ในพระอิริยาบถบรรทมตะแคงพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัยในขณะที่พระหัตถ์ยังทรงพนมธูปและดอกไม้อยู่......

พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงค์กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็นพระราชโอรสลำดับที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับ เจ้าจอมมารดาโหมด (สกุลบุนนาค) ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ. ศ. 2423 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ณ. ตำบลหาดทรายรี จังหวัดชุมพร สิริพระชันษาได้ 44 ปี
ในค่ำคืนวันหนึ่งที่ตลาดนางเลิ้ง มีเสียงตะโกนไล่หลังกันมาจากหัวมุมถนน คนหนึ่งพยายามหนีเอาตัวรอด อีก 4 คน วิ่งไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง.....เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ชายอีกสามคนที่กำลังจะเดินสวนไปยังโรงบ่อนเบี้ยต้องพากันดึงตัวหลบไปหลังต้นมะขามใหญ่ คนที่ดูท่าทางจะเป็นเจ้านายของอีกสองคนส่งเสียงกำชับเบาๆ ให้เฉยไว้ ดูไปก่อน ....

....ก่อนที่ดาบของกลุ่มคนที่ไล่มาทันจะได้ลิ้มเลือดของคนไม่มีทางสู้ ฉับพลันมีร่างหนึ่งกระโจนเข้ามาจากไหนก็ไม่มีใครทราบ ...เขาตวัดขาเตะไปที่ข้อมือของคนถือดาบ และอัดกำปั้นเข้าที่ปลายคางของอีกคนหนึ่งที่พรวดเข้ามา....

การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยถูกฟันเต็มเหนี่ยวที่กลางหลัง และถูกนักเลงอีกคนหนึ่งจ้วงแทงด้วยมีดพก แต่เขาก็เพียงเซไป และกลับฮึดสู้ข้นมาอีก การต่อสู้เป็นไปอย่างรวดเร็วแทบดูไม่ทัน....ขณะที่อีก 3 คนในมุมมืดไม่อาจทนดูการต่อสู้ที่ไม่เป็นธรรมและก้าวออกมาจะช่วยต่อสู้ แต่เสียงนกหวีดจากพลตระเวนที่ดังจนแสบแก้วหูพร้อมเสียงตะโกนสั่งให้หยุด ทำให้ต้องชะงักถอยกลับ และสุนัขหมู่ 4 ตัวก็หายไปกับความมืด...

บ่ายวันรุ่งขึ้น...ที่วังนางเลิ้ง มหาดเล็ก 2 คน พาชายคนหนึ่งเข้ามาก้มกราบอยู่แทบพระบาทเสด็จในกรมฯ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ขณะทรงประทับอยู่ในศาลาเล็กริมสระน้ำ...

....รับสั่งถามความเป็นมาจนทรงทราบว่า นายหลิมเป็นคนย่านสะพานถ่าน อยู่ไม่ไกลจากนางเลิ้ง เป็นคนเคยเรียนหนังสือพอมีความรู้ติดตัว เมื่อพ่อแม่เสียไปก็อาศัยอยู่กับญาติ ความรักอิสระและชอบวิชาการต่อสู้ทำให้ต้องเร่ร่อนและคบค้าสมาคมกับพวกนักเลง เมื่อคืนที่มีเรื่องได้ออกมาช่วยน้องชายของเพื่อนรักคนหนึ่งที่ถูกรุมทำร้าย ตัวเขาเองไม่มีอาชีพแน่นอนเพียงช่วยงานที่โรงเหล้าของญาติห่างๆ เป็นคนชอบชกมวย และมีฝีมือฟันดาบ กระบี่กระบอง แต่สิ่งที่เสด็จในกรมฯทรงพอพระทัยมากเป็นพิเศษคือ นายหลิมเป็นคนชอบการร่ำเรียนไสยศาสตร์คาถาอาคม.....ทรงรับสั่งชวนนายหลิมมารับราชการกับพระองค์..


หลิม ทองย่อน ตัดสินใจถวายตัวเป็นมหาดเล็กประจำพระองค์เพื่อติดตามรับใช้เสด็จในกรมฯ ไปก่อน ส่วนการเข้ารับราชการเป็นทหารเรือของเขานั้น เกิดขึ้นในปี พ. ศ. 2450.... เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาห้าปีก่อนรับราชการเป็นทหารเรือ แน่นอนว่าย่อมเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติธรรมดา....

ผลกระทบจากสัญญา เบาว์ริง ที่ประเทศไทยจำยอมลงนามร่วมกับประเทศอังกฤษ พ ศ. 2398 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่4)ทำให้ฝรั่งเศสบีบคั้นไทยให้ทำสัญญาลักษณะเดียวกันในปี พ.ศ. 2399 ประเทศไทยต้องสูญเสียอำนาจทางศาลที่เรียกว่า สิทธิสภาพนอกอาณาเขต ฝรั่งตาน้ำข้าวไม่ต้องขึ้นศาลไทย หากมีกรณีพิพาทเกิดขึ้น ก็จะไปขึ้นศาลกงสุลของประเทศตน...สัญญานี้ยังพ่วงอภิสิทธิ์ของพวกสัปเยก หรือคนในบังคับที่อยู่ในความคุ้มครองของประเทศยุโรปเหล่านี้ด้วย (สัปเยกมีรากศัพท์มาจากคำว่า subject ในภาษาอังกฤษ)

พวกสัปเยกที่คนไทยรู้สึกไม่ชอบหน้าก็คือ ทหารญวน พวกนี้เหิมเกริมเพราะเคยกดขี่คนไทยมาตั้งแต่ครั้งที่ฝรั่งเศสปกครองจันทบุรีและตราด หลังจากเกิดวิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 จึงมักมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนไทยเสมอ และทุกครั้งคนไทยเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ จะถูกจะผิดก็ต้องไปขึ้นศาลกงสุลต่างชาติ...

แล้วมันก็เกิดเรื่องขึ้นกับ มหาดเล็กหลิมของเราจนได้....สัปเยกญวน 4-5 คน ลวนลามสาวชาวบ้านลูกครึ่งจีนที่ช่วยพ่อแม่ค้าขายอยู่หน้าโรงยาฝิ่น เตี่ยและแม่ร้องเรียกคนช่วย แต่พอเห็นว่าเป็นพวกญวน ก็ไม่มีใครอยากมีเรื่องด้วย....มหาดเล็กหลิมและเพื่อนเข้าไปห้ามปราม แต่กลับถูกเล่นงานก่อน การตะลุมบอนกันระหว่างญวน 5 คน กับพวกของหลิม ทองย่อน 3 คน ทำให้พวกญวนสู้ไม่ได้และกลายเป็นผู้เสียหายแม้ว่าจะก่อเรื่องขึ้นก่อน เมื่อปรากฏต่อมาว่าสัปเยกที่ถูกแทงเสียชีวิต พยานคือสาวชาวบ้านคงกลัวเลยไม่กล้าเป็นพยาน แม้ในตอนแรกจะเคยให้การที่เป็นประโยชน์ต่อมหาดเล็กหลิมและพวก...

พวกฝรั่งเศสไม่ยอมเลิกรา จะเอาตัวคนแทงมาลงโทษ ส่วนความผิดของฝ่ายสัปเยกญวน กลับอ้างว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย.........เมื่อกรมพระนครบาลส่งคนมาสืบสวนสอบสวน มหาดเล็กหลิมจึงต้องหลบหนีไปชั่วคราวเพราะพวกญวนจำหน้าได้ พร้อมที่จะชี้ตัวเอาไปขึ้นศาลของตน....และนี่คือการหนีอาญาครั้งแรก.....
ชีวิตของคนเรานั้น...ในวิกฤติมักมีโอกาสอยู่เสมอ ชีวิตของ หลิม ทองย่อน ก็เป็นเช่นนั้น ในช่วงเวลาที่ต้องระหกระเหินหลบหนีคดีครั้งนั้น ทำให้เขาได้มีโอกาสพบกับอาจารย์ขมังเวทหลายคน....

เวลาผ่านไปกว่าสามปี หลวงประชาธนาณัติ หนึ่งในเจ็ดทหารเสือที่เป็นเพื่อนสนิท ได้ส่งคนไปตามเขาที่จังหวัดระยอง ภายหลังจากกรมหลวงชุมพรฯ เสด็จกลับมาและทรงมีรับสั่งให้ตาม หลิม เข้าเฝ้า..เขาเดินทางกลับกรุงเทพฯด้วยหัวใจอันพองโตสุดบรรยาย

   วังนางเลิ้ง....เช้าตรู่ของวันหนึ่งใน พ ศ. 2450 เมื่อได้ทรงสนทนากับอดีตมหาดเล็กหลิมแล้ว เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงมีรับสั่งด้วยเมตตาว่า
ไอ้หลิม เอ็งก็ลำบากมามากเพราะเรื่องช่วยคนอื่นแท้ๆ ....ข้าจะให้เอ็งเข้ามาประจำการเป็นทหารอย่างที่เอ็งต้องการเสียที คดีของเอ็งก็เลื่อนลอย ไอ้สัปเยกญวนก็ไม่ระบุชื่อเอ็ง คดีก็ถูกโอนไปที่กงสุล คนที่ตายก็ไม่ใช่คนฝรั่งเศส เป็นพวกญวนที่มาข่มเหงรังแกคนไทยก่อน ฝรั่งเศสคงไม่สนใจติดตามเรื่อง กรมพระนครบาลก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เรื่องเงียบไปนานแล้ว...เอาละเอ็งเป็น ไท เสียที

ไอ้ไท....ข้าตั้งชื่อให้เอ็งใหม่ให้สมกับความรักอิสระของเอ็ง หลิม ชื่อเดิมพ่อแม่ตั้งให้ก็ดีแล้ว เอ็งก็ใช้ไปตามสำมะโนครัวไม่ต้องเปลี่ยน ชื่อ ไท เป็นฉายาข้าตั้งให้เอ็ง....และนี่คือที่มาของสมญานามที่ได้รับการเรียกขานกันต่อมา

เมื่อ พ. ศ. 2454 ต้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เกิดกบฏ รศ. 130 และมีความหวาดระแวงกันเองในราชสำนัก โดยมีผู้ปล่อยข่าวลือว่า กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์จะทำการกบฏชิงราชบัลลังก์ และเมื่อกระทำการสำเร็จแล้วจะอัญเชิญสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ขึ้นครองราชย์แทน ทั้ง 2 พระองค์ จึงมีพระดำริจะทรงลาออกจากราชการแต่ทว่าล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ได้ส่งคนมาไกล่เกลี่ยขอให้ทรงรับราชการต่อไป

แต่แล้วก็ได้เกิดเหตุตามมาอีก จนนำไปสู่จุดแตกหักของความระแวงสงสัย....พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ ออกจากราชการเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2454 ขณะนั้นทรงมีพระชันษาเพียง 31 ปี เท่านั้น..

ครั้งนั้น มีนายทหารระดับสูงหลายคนจะลาออกตาม แต่เสด็จในกรมฯ ทรงห้ามไว้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นผู้ที่ลาออกตามจึงมีเพียงไม่กี่คน.........เป็นทหารเสือที่รับใช้ใกล้ชิดในฐานะมหาดเล็กติดตามรวมถึง พลทหารไท หรือ พลทหาร หลิม ด้วย
ในช่วง 6 ปี ที่ออกจากการรับราชการ ทรงซื้อเรือใบและเรือกลไฟท่องไปในทะเลบ่อยครั้ง ยังได้เสด็จล่องไปตามแม่น้ำลำคลองในชนบท ตามบ้านเกิดของมหาดเล็กหรือข้าหลวงที่รับใช้อยู่ในวังนางเลิ้งรวมถึงเสด็จแวะตามวัดวาอารามต่างๆ เพื่อนมัสการพระเกจิอาจารย์หลายรูปของพระองค์

ทรงโปรดศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจนมีความรู้ความชำนาญ ทรงสามารถวินิจฉัยและทำการรักษาคนป่วยที่ส่วนมากเป็นชาวบ้านที่ยากจน ทั้งคนไทยและคนจีนต่างเรียกพระองค์ตามที่ทรงแนะนำตัวว่า หมอพร เป็นช่วงที่ทรงดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุข จนล่วงเข้าปี พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 1
 
    วันที่ 22 กรกฎาคม พ. ศ. 2460 ประเทศสยามประกาศสงครามกับเยอรมันและ ออสเตรีย-ฮังการี
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ กลับเข้ารับราชการในกองทัพเรือตามเดิมในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2560 และทรงโปรดเกล้าฯ เลื่อนพระอิสริยศเป็น พลเรือโท ได้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือในเวลาต่อมา

     การเสด็จกลับเข้ารับราชการในครั้งนี้ พลทหารไท พร้อมทั้งทหารเสือทั้งหมดได้ติดตามกลับเข้ารับราชการเป็นพลทหารประจำการอีกครั้งหนึ่ง
เสด็จในกรมฯ ต้องทรงงานหนักกว่าเดิม ทรงพัฒนากองทัพเรือตามนโยบายที่ได้ทรงวางไว้ก่อนออกจากราชการ และทรงมีพระภารกิจเป็นผู้แทนรัฐบาลสยาม เดินทางไปเจรจาขอซื้อเรือรบที่ประเทศอังกฤษ เมื่อการเจรจาซื้อเป็นผลสำเร็จทรงทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการเรือรบหลวงพระร่วง นำกลับสู่ประเทศสยามด้วยพระองค์เอง

    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงจัดพิธีเฉลิมฉลองต้อนรับอย่างยิ่งใหญ้ ในปี พ.ศ. 2463 และทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เลื่อนพระอิสริศักดิ์ให้ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็น กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ในปี พ.ศ. 2465 หลังทรงบัญชาการควบคุมการก่อสร้างฐานทัพเรือสัต+++บเรียบร้อยแล้ว จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระพลานามัยไม่สู้ดีนัก

      ดังนั้น ในฤดูร้อนของปีพุทธศักราช 2466 จึงตัดสินพระทัยกราบบังคมลาออกจากราชการเพื่อพักรักษาพระองค์ โดยเลือกที่จะเสด็จไปพักผ่อนที่พระตำหนักที่สร้างแบบเรียบง่าย ณ. ตำบลหาดทรายรี จังหวัดชุมพร ได้ทรงสิ้นพระชนม์ในต้นฤดูฝนในปีเดียวกันนั้นเอง.....
      เมื่อสิ้นเสด็จในกรมฯ พลทหารไท หรือ หลิม ทองย่อน หวนกลับสู่ถนนนักเลง โดยไปช่วยงานที่โรงบ่อนเบี้ย ดูแลโรงเหล้าและโรงยาฝิ่น ซึ่งมีหลวงประชาธนาณัติ ทหารเสือผู้หันมาเอาดีด้วยการยึดอาชีพเป็นนายอากรบ่อนเบี้ยเป็นผู้แนะนำ

       เศรษฐกิจของประเทศสยามในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ตกต่ำลงมาก....อันเป็นผลกระทบมาจากสถานการณืเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศหลายอย่าง กล่าวกันว่ารายได้ของรัฐบาลส่วนหนึ่งที่หดหายไปคือการออกกฎหมายประกาศยกเลิกการเล่นหวย ก. ข. ในปีพุทธศักราช 2459 และการประกาศเลิกบ่อนเบี้ย ในปีพุทธศักราช 2460 แต่ทว่า.....หวยและบ่อนนั้น เป็นการพนันที่เลิกยาก ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เมื่อห้ามไม่ให้เปิดตามกฎหมาย ก็ยังคงมีคนลอบเปิด รวมถึงโรงยาฝิ่นด้วย...

       คืนวันหนึ่ง..ที่โรงบ่อนเบี้ยเถื่อนในกรุงเทพฯ มีการทะเลาะวิวาทกันรุนแรงจนถึงขั้นตะลุมบอนยิงแทงกัน ให้บังเอิญที่ อดีตพลทหารไท อยู่ในที่นั้นด้วย มีเสียงปืนจากพลตระเวนดังขึ้นหลายนัดเพื่อระงับเหตุและพวกนักเลงที่ยิงกันเอง.....กระสุนปืนเจ้ากรรมนัดหนึ่งเป็นลูกหลงปริศนาพุ่งเข้าตัดขั้วหัวใจของพลตระเวณนายหนึ่งล้มลงขาดใจตาย เป็นขณะเดียวกันที่ พลทหารไทกับพวกวิ่งสวนมาทางนั้นพอดี ......มีเสียงตะโกนมาจากนักเลงอีกกลุ่มหนึ่งว่า ไอ้ไทยิงตำรวจ...

      ลำพังคดีฆ่าคนธรรมดาก็หนักอยู่แล้ว แต่นี่เป็นคดีที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่ยิ่งหนักหนาสาหัส็นการหลบหนีคดีครั้งที่ 2 ของชีวิต.....ดูเหมือนว่าการหนีในคราวนี้แผ่นดินไทยดูจะแคบเกินไปจนแทบจะไม่มีที่หลบซ่อนตัว....

      พ่อหลิม หรือ เสือไท ได้เล่าถึงช่วงที่ชีวิตตกอับที่สุดในตอนนั้นว่า....มีความพยายามจากศัตรูฝ่ายตรงข้ามของตนเองที่จะรื้อคดีเก่าของเขาออกมา ในขณะที่คดีที่เกิดใหม่ก็ยังเอาตัวไม่รอด เป็นเรื่องเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เขาจึงตัดสินใจลงเรือสินค้าแล้วแอบแวะขึ้นบกที่นครศรีธรรมราช เดินทางลงใต้ไปเรื่อยๆ ทางบกบ้าง ทางเรือบ้าง หนีไปกบดานในเขตประเทศมาเลเซีย และเตลิดเลยเข้าไปถึงประเทศสิงคโปร์....ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากมาก จึงลงเรือกลับมาประเทศไทย โดยไม่กล้าแวะเข้ากรุงเทพฯ หนีขึ้นเหนือกันเรื่อยๆ

      มีคนแอบอ้างชื่อเขาเป็นโจรออกปล้นจี้ อยู่ระหว่างเขตพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง สิงห์บุรี ชัยนาท สุพรรณบุรี เลยไปถึงฝั่งตะวันตก กาญจนบุรี ทำให้สถานการณ์ของเขากลับเลวร้ายลงไปอีก....ไอ้ไท คนร้ายหนีคดีฆ่าตำรวจ ได้กลายเป็นเสือไทไปแล้ว.......

      ด้วยวิธีหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง เขาจึงหนีเข้าป่าไปรวมกับพวกหนีคดีอีกหลานคน จนมีการบอกกันปากต่อปาก จากหนึ่งเป็นสอง เป็นสาม เป็นสิบ และเป็นร้อยในเวลาต่อมา เมื่อทุกคนรู้ประวัติความเป็นมาของอดีตพลทหารไท จึงมีความเคารพยกย่องให้เป็นลูกพี่หรือผู้นำ....เขาได้กลายเป็นหัวหน้าชุมโจรไปแล้วโดยสมบูรณ์แต่บัดนั้น....

    งานแรกสำหรับเสือไท ก็คือการล้างรอยแค้นตามไปจัดการกับ ไอ้เสือไทตัวปลอมที่แอบอ้างชื่อเขาหากิน.....ที่เขตรอยต่อสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี ชาวบ้านหวาดกลัวเสือไทตัวปลอมมาก มีการปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ ฉุดลูกเมียชาวบ้านไปข่มขืน กระทำการอย่างอุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทุกครั้งที่เข้าปล้น ได้ประกาศชื่อเสือไท มันเป็นคนสูงใหญ่ ไว้หนวดเคราเข้มขรึม พูดจาเสียงดัง มีนิสัยชอบข่มขู่และทำร้ายคนไม่มีทางสู้ ชาวบ้านต่างเข้าใจว่ามันคือเสือไทตัวจริง....

    หนังสือ ได้เล่าปฏิบัติการฆ่าตัดหัวเสือไทยตัวปลอม โดยใช้มีดปังตอของอาแป๊ะเจ้าของร้านเหล้า ที่เขาแต่งตัวแบบชาวบ้านเข้าไปกับลูกน้องคนสนิทเพียงสองคน...แล้วประกาศว่า กูนี่แหละ เสือไทตัวจริง...     ปัญหาใหม่ที่ตามมา คือ จำนวนสมัครพรรคพวกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ในช่วงเวลานั้นเป็นปลายสมัยรัชกาลที่ 7 แล้ว บ้านเมืองใกล้เข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจตกต่ำ มีคนหนีคดีอาญาเข้าป่าเป็นเสือเป็นโจรจำนวนไม่น้อย

    พ่อหลิม หรือ เสือไท ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการปล้น แต่ทำด้วยสำนึกเสมอว่าตนเองเป็นเสือลำบาก ไม่ใช่โจรโดย+++ จึงเลือกปล้นเฉพาะพวกเศรษฐีหรือนายทุนหน้าเลือด เอารัดเอาเปรียบและชอบรึดนาทาเร้นคนยากจนเท่านั้น เขาเคยปล้นเรือโยงข้าว...แล้วขนเอาข้าวสารไปแจกจ่ายชาวบ้านก็เคยทำมาแล้ว ชื่อเสียงที่เคยเสียหายเพราะเสือไทตัวปลอมทำไม่ดีไว้ เริ่มจะพอมีคนพูดถึงในทางที่ดีบ้าง...

   วันเวลาได้ผ่านไปจนเข้าสู่ต้นสมัยของรัชกาลที่ 8 เสือไทเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต ที่ต้องแบกรับปัญหาลูกน้องนับร้อย มันขัดกับนิสัยของเขาที่ชอบชีวิตเรียบง่ายและสมถะ ตลอดชีวิตที่เป็นโจรต้องหนีตำรวจอย่างเดียวเท่านั้น นี่คือกฎเหล็กที่เขากำหนดขึ้นมา ห้ามฆ่าหรือทำร้ายเจ้าทรัพย์ และห้ามต่อสู้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง....และแล้วเมื่อความเบื่อหน่ายต่อชึวิตการเป็นโจรมาถึงจุดสุกงอม เสือไทจึงเรียกประชุมลูกน้องแล้วประกาศให้รับรู้พร้อมกันว่า ข้าจะปล้นเป็นครั้งสุดท้าย

     การปล้นครั้งสุดท้าย ได้ทรัพย์สินตามต้องการ แต่เขาไม่ขนอะไรออกมามากจนเกินความจำเป็น ไม่ยอมให้ความโลภมาครอบงำ เสือไทได้บอกกับเศรษฐีชาวจีนคนนั้นว่า ให้ถือว่าเป็นการชดใช้หนี้เก่า ชาติที่แล้วคงเอาของตนไป ชาตินี้จึงมาปล้น.....ก่อนกลับออกมาขอร้องให้เลิกรีดดอกเบี้ยชาวบ้าน ถ้ายังขืนทำต่อก็จะมีโจรก๊กอื่นมาปล้นจนหมดตัว เถ้าแก่ไม่มีทางปฎิเสธได้แต่พยักหน้ารับคำ...

     ภายหลังจากได้เดินสำรวจดูลาดเลาจนแน่ใจ เสือไทตัดสินใจเลือกจังหวัดพิจิตรเป็นที่พักพิงสุดท้ายที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยที่สุด....นับแต่นั้นเป็นต้นมาจาก นายหลิม พี่หลิม..ลุงหลิม...น้าหลิม จนกลายเป็น พ่อหลิม ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ อันเนื่องมาจากความมีน้ำใจเอื้ออาทรของเขาที่ให้กับเพื่อนบ้านทุกคนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

[ ราคา ] โทรถาม
[ สถานะ ] โชว์พระ
[ติดต่อเจ้าของร้านเจ้าพระยาพระเครื่อง] เบอร์โทรศัพท์ : 081-6414009,029243140 ( อ้น ระโนด ) line ID weerapong07


วัตถุมงคล: เครื่องราง - ของขลัง
หลวงปู่เจียม อติสโย วัดอินทราสุการาม (วัดหนองยาว) ต.กระเทียม อ.สังขะ จ.สุรินทร์
เสือมหาอำนาจ หลวงพ่อเณร วัดทุ่งเศรษฐี  รุ่น2 กะไหล่ทอง
เหรียญชีวกโกมารภัตแพทย์ ปี 2519 เนื้อทองแดงรมดำ
ปลัดขิกหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก รุ่นมหาโชคลาภ เนื้อทองเหลือง  ปี 35 พิมพ์กรรมการ นิยม
หลวงพ่อขวัญ ปวโร  วัดบ้านไร่ จ. พิจิตร เจ้าตำรับแหวนตะกร้ออันลือลั่น
หลวงพ่อเทียม วัดลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี
ลูกกลองใบลาน หลวงพ่อบุญเทียม วัดลาดหลุมแก้ว ทาทองบอนซ์
พระขรรค์โสฬส สุดยอดของขลัง ของกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์
ลูกอมหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ เนื้อผงพุทธคุณ เม็ดใหญ่จัมโบ้
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย : ไหม 5 สี หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ
ผ้ายันต์หลวงพ่อกาหลง วัดเขาแหลม ปี 2513
แหวนพิรอดหลวงพ่อสาย วัดท้องคุ้ง  จ. อ่างทอง

หน้าหลัก  ข่าวสารจากร้านค้า  วิธีการชำระเงิน  ติดต่อร้าน  บทความ  ผู้ดูแล
Copyright©2024 zoonphra.com/amulet
Powered by อ้น ระโนด