หลวงพ่อภัทร   แห่งวัดโคกสูง

อ.หาดใหญ่  จ.สงขลา

โดย  สุวัฒน์  เหมอังกูร

                 บทความเกี่ยวกับ  หลวงพ่อภัทร  แห่งวัดโคกสูง  นี้  เคยลงพิมพ์เป็นตอน    ในหนังสือพระเครื่องกรุงสยาม  เล่มปีที่  2   ฉบับที่  18  เป็นตอนแรก 

                                           ************************************

                            เรื่องราวที่ผู้เขียน   จะเสนอต่อท่านผู้อ่านเกี่ยวกับพ่อหลวงแห่งวัดโคกสูงต่อไปนี้  เป็นการเขียนเรื่องของพระสุปฎิปันโน   ที่ผู้เขียนมีความภาคภูมใจอย่างยิ่ง   เพราะท่านเป็นพระทรงอภิญญา   ที่ผู้เขียนใฝ่ฝันมานานว่า   จะได้กราบไหว้เป็นอาจารย์   และเมื่อพบกับท่าน  2  -  3  ครั้ง ก็นึกย้อนไปถึงความฝันที่อยากพบเกจิอาจารย์ที่เก่งจริง   โดยสามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเอง  และได้รับวัตถุมงคลจากมือของท่านโดยตรง   ความคิดและความใฝ่ฝันนี้    เกิดจากการได้อ่านประวัติของเกจิอาจารย์ต่าง     ซึ่งเขียนโดยศิษย์ผู้ใกล้ชิด  และท่านผู้เขียนเหล่านั้นมีโอกาสได้พบกับอภินิหารต่าง ๆ   ด้วยตัวเอง  มีโอกาสได้รับวัตถุมงคลจากมือองค์อาจารย์ของท่าน   ทำใหผู้เขียนอยากมีโอกาสแบบนั้นบ้าง    สำหรับองค์ที่เก่ง ๆ   ส่วนใหญ่จะล่วงลับไปหมดแล้ว

                               บัดนี้    ผู้เขียนได้พบซึ่งพระอริยสงฆ์   ที่มีความเข้มขลัง   พลังจิตสูง  และอยากเล่าให้ผู้อ่านฟัง   โดยมีจุดประสงค์เพื่อเทิดทูนเกียรติคุณของอาจารย์  ที่ผู้เขียนเคารพศรัทธาอย่างสูงสุด     ท่านคือ   หลวงพ่อภัทร ฉายา ภัทริโย  แห่งวัดโคกสูง  ถัทธิยาราม  อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา    ซึ่งต่อไปผู้เขียนบอกกล่าวนามว่า   "   พ่อหลวง  "   ตามภาษาของชาวใต้   และท่านมักจะแทนตัวด้วยคำนี้เสมอ   

                              โดยผู้เขียนได้ไปกราบท่านไม่ถึง  1   ปี   จึงไม่ทราบประวัติขององค์ท่านเท่าใดนัก  และก็ไม่เคยถาม   ส่วนใหญ่การเขียนประวัติเกจิอาจารย์   มักจะมีเรื่องราวตั้งแต่เกิด  ที่เน้นกันมากก็คือ  การศึกษาพุทธาคม  กับองค์อาจารย์ของท่าน   แต่สำหรับผู้เขียน  คงจะไม่กล่าวถึง  เนื่องจากไม่กล้าถามท่าน   ประกอบกับความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ   นั่นคือ  ผู้เขียนเห็นว่า   พระเกจิที่เก่ง ๆ   จะต้องเก่งด้วยตัวเอง  อาจารย์เป็นเพียงผู้สอนวิธีเท่านั้น  จะขลังแค่ไหนขึ้นอยู่กับการฝึกฝนจิต  ความมุมานะ  และความเพียรของแต่ละคน

                             เพราะวิชาอาคม  ไม่เหมือนกับวิชาวิทยาศาสตร์   ภูมิศาสตร์  ภาษาศาสตร์  หรือวิชาอื่น    ที่พวกเราเคยร่ำเรียนกันมา   ท่านผู้อ่านลองพิจารณาจากความเป็นจริงดูก็ได้  ลูกศิษย์ของอาจารย์ที่เก่ง    ในอดีต  ไม่เห็นองค์ไหนมีชื่อเสียงโด่งดัง  และได้รับความเชื่อถือในด้านวัตถุมงคลเท่าองค์อาจารย์   ลองไปอ่านประวัติดูสิครับ  อาจารย์ของท่านไม่ใช่เกจิอาจารย์ที่โด่งดังในอดีต  เพราะฉนั้น  ผู้เขียนจะผ่านในเรื่องต่าง ๆ  เหล่านี้ไปและจะเล่าเฉพาะอภินิหาร  และความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์  แห่งองค์พ่อหลวงเท่านั้น  

   

 

                     เมื่อผู้เขียนไปกราบท่านครั้งแรก   ก็มีความคิดเหมือนกับคนอื่น ๆ  คือต้องการไปกราบเพื่อเป็นศิริมงคล และขอวัตถุมงคล  เครื่องรางของขลัง   สิ่งที่ผู้เขียนอยากได้มากก็คือ  ตะกรุด  แต่เป็นที่ทราบกันว่า  ท่านไม่ค่อยให้ใครง่าย ๆ   ความหวังที่จะได้ และ ไม่ได้  จึงมีเท่า ๆ   กัน  ผู้เขียนเลยไม่คิดอะไรมาก  ได้แต่อธิษฐานในใจขอให้ท่านเมตตา   

                     เหตุที่ผู้เขียนอยากได้ก็เพราะ  ท่านไม่ค่อยให้ใครนั่นเอง   เพราะท่านถือว่าของท่านดี มีคุณค่า  คนที่รับไปต้องมีความศรัทธาและนำไปใช้ประโยชน์  คนที่ไม่เชื่อท่านและไม่เคารพนับถือศรัทธาท่าน  ท่านจะไม่แจกให้    ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า  แล้วท่านรู้ได้อย่างไร  ว่า ใครศรัทธาจริงหรือไม่  คำตอบคือ ถ้าท่านติดตามผู้เขียนไปเรื่อย ๆ  ก็จะทราบเอง   เกี่ยวกับความเห็นของผู้เขียนในเรื่องนี้  ประกอบกับการปฎิบัติของท่าน  จริง  ๆ แล้ว  ทำให้ผู้ที่ได้รับวัตถุมงคลของท่าน  มักจะนำไปใช้เป็นส่วนใหญ่  ไม่ได้นำไปวางทิ้งโดยเปล่าประโยชน์  อุตสาหะ  ความอดทนและพลังจิตมาก  ยิ่งเป็นสิ่งทรงค่า  ผู้ไม่ศรัทธาจริง ๆ  จึงไม่สมควรจะได้รับ   ดังนั้น  ผู้เขียนจึงตั้งจิตว่า   เมื่อได้รับตะกรุดจากหลวงพ่อแล้ว   จะพกติดตัวตลอด  ด้วยแรงแห่งการอธิษฐาน   ท่านจึงรับปากว่า  จะทำให้   โดยบอกให้ผู้เขียนมารับในครั้งถัดไป  คือช่วงก่อนออกพรรษา  ประมาณกลางเดือนตุลาคม   2538     เมื่อถึงเวลานัด  พอไปถึงท่านเตรียมไว้ให้เรียบร้อย  และทำพิธีมอบอย่างเป็นการเฉพาะกิจจริง ๆ

   

 

 

 

 

                   ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธา   ผู้เขียนจึงใช้ติดตัวเป็นประจำ  และเดินทางไปกราบท่านบ่อยครั้ง   ในการเดินทางไปครั้งที่  3   ผู้เขียนขับรถที่เพิ่งออกใหม่แต่มีทะเบียนเรียบร้อยแล้ว  โดยตั้งใจว่าจะนำรถคันนี้ไปให้ท่านพ่อหลวงทำพิธีเจิมรถและพรมน้ำมนต์    ตามความเชื่อของพวกเราชาวพุทธ  ที่มักจะปฎิบัติกันเช่นนี้   เพื่อความเป็นสิริมงคล  และคุ้มครองให้บังเกิดความแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งหลาย  เมื่อเดินทางไปถึงหาดใหญ่  ผู้เขียนก็นำรถเข้าจอดพักที่โรงแรมเซ็นทรัล สุคนธา  จำได้ว่าเป็นวันพฤหัสบดี แต่จำวันที่ไม่ได้   เวลาประมาณ  3  ทุ่มเศษ  หลังจากนั้นก็ไม่ได้นำรถออกจากโรงแรมอีก  จนกระทั่งกลับ  ในระหว่างอยู่หาดใหญ่  ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณกู้  หาดใหญ่  และ คุณสุธรรม  ว่องวีระ  ในการพาไปกราบพบพ่อหลวง  ในใจของผู้เขียน  นึกอยู่ตลอดเวลาว่า  จะพูดขอให้ท่านเจิมรถ  แต่ไม่กล้า  เพราะยังไม่ได้ใกล้ชิดกับท่าน  เกรงว่าจะเป็นการไปรบกวนท่าน  ประกอบกับผู้เขียนสังเกตดูแล้ว  ยังไม่เห็นมีใครนำรถไปให้ท่านเจิม  จึงคิดว่าท่านคงไม่ทำพิธีให้กับใคร

                    โดยเรื่องนี้    ผู้เขียนไม่ได้ถามหรือบอกความประสงค์กับใครเลย  จนกระทั่งเช้าวันอาทิตย์  ผู้เขียนจึงออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ  แต่เช้า   โดยแวะไปกราบลาพ่อหลวงถึงวัดประมาณ  7.00  น. พอจอดรถเรียบร้อย  จึงเดินขึ้นบนกุฎิของท่าน   ซึ่งเป็นทั้งที่พัก  เป็นศาลาทำบุญ  เป็นพระอุโบสถไปในตัว  มีความกว้างขวางมากพอสมควร    มองเห็นท่านนั่งยอง    อยู่โดยมีลูกศิษย์คุกเข่าอยู่ข้าง   

                     เมื่อผู้เขียนเดินเข้าไป  พ่อหลวงก็ลุกขึ้นยืน  ในมือถือตลับเงินที่มีแป้งสำหรับเจิมอยู่ในนั้น  และเดินสวนออกมาพร้อมลูกศิษย์ที่อุ้มขันน้ำมนต์มาด้วย   ผู้เขียนจึงนั่งลงยกมือไหว้ท่าน  และหันไปถามลูกศิษย์ว่า  จะไปเจิมรถใคร  ลูกศิษย์ตอบว่า  ก็เจิมรถพี่ยังไงละครับ

                     ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ   ความรู้สึกของผู้เขียนตอนนั้น  มึนงงไปหมด  ขนลุกซู่  ดีใจจนบอกไม่ถูก  ไม่ใช่ดีใจจะได้เจิมรถ  แต่ดีใจที่ได้พบพระสงฆ์ผู้ประเสริฐ  มีพลังจิต  และญาณสมาธิสูงเยี่ยม  ที่สำคัญคือ  ท่านให้ความเมตตาอย่างมาก  ท่านล่วงรู้ถึงความตั้งใจของผู้เขียน  ที่ต้องการนำรถมาให้ท่านเจิม  ทำให้ผู้เขียนรู้แล้วว่า  ท่านไม่ใช่ธรรมดา  เพราะการจะปฎิบัติให้ถึงระดับรู้จิตใจคน หรือที่เราหมายถึงว่ามี  เจโตปริญญาณนั้น  ต้องใช้ความเพียรอย่างเอกอุ   ไม่เพียงแต่เท่านั้น  ญาณสมาธิของท่านยังแจ่มชัด  และกว้างไกลเป็นอย่างยิ่ง  ท่านสามารถรู้ได้ทุกเรื่อง  เพียงแต่จะพูดหรื่อไม่เท่านั้น  และนอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้  ความสามารถทางพุทธาคม  ความกล้าแข็งของพลังจิต  และความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ยังยอดเยี่ยม  ไม่เป็นสองรองใครในยุคปัจจุบัน   ที่ผู้เขียนกล้าพูดเช่นนี้  ไมได้มีเจตนาพูดให้เกินเลย  หรือพูดในลักษณะของการเชียร์  แต่เป็นเพราะผู้เขียนได้สัมผัสด้วยตัวเองมาแล้ว  จึงกล้าที่จะเสนอต่อท่านผู้อ่าน

 

                      มีหลายสิ่งหลายอย่าง   ในส่วนที่ผุ้เขียนได้ประสบมา  และอยากเล่าให้ฟัง  แต่ต้องขอพักไว้ตรงนี้ก่อน  โดบผู้เขียนจะขอย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต   ที่ผ่านมาเกี่ยวกับตัวพ่อหลวงที่ผู้เขียนได้รับฟังจากลูกศิษย์คนอื่น     ของท่าน  ในด้านผลงานและความศักดิ์สิทธิ์  มิใช่ประวัติส่วนตัวของท่าน

จากเรื่องราวต่าง  ๆ นั้น  ผู้เขียนขอย้อนอดีตไปถึงเมื่อประมาณ  35  ปีก่อน  คือ เวลาที่ท่านจำพรรษาอยู่    วัดแจ้ง  อ.เมื่อง  จ.สงขลา  โดยการชักชวนของ  เจ้าคุณเจ้าอาวาสวัดแจ้ง  และรองเจ้าคณะจังหวัดสงขลา  ซึ่งมรณภาพไปเมื่อปีที่แล้ว  (  2538  )  เพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน  พ่อหลวงจึงมาจำพรรษาอยู่วัดนี้  ในเวลานั้นมีประชาชนให้ความศรัทธา  พากันหลั่งไหลมากราบท่านทุกวัน  เพื่อให้ท่านช่วยเหลือปัดเป่าเคราะห์ร้ายต่าง ๆ   บ้างก็มาให้ท่านรดน้ำมนต์  บ้างก็มาให้ทำพิธีค้าขายดี  เมื่อกลับไปแล้ว  ได้ผลก็บอกกันต่อ ๆ  ไป  ทำให้ท่านมีชื่อเสียงมากพอสมควร

                          ในปี  2505   พ่อหลวงได้จัดสร้างพระเครื่องและพระบูชาเป็นรูปขององค์หลวงปู่ทวด  เพื่อหารายได้ให้กับทางวัดแจ้ง  โดยท่านเป็นผู้จัดทำเองทั้งหมด  รวมทั้งจัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้นที่วัดแจ้ง  และได้นิมนต์ท่านอาจารย์ทิม  แห่งวัดช้างให้  มาร่วมพิธีด้วย  เพราะพ่อหลวงมีความสนิทสนมกับท่านอาจารย์ทิม  และเคยรับนิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกพระเครื่องพระบูชาหลวงปู่ทวด  เนื้อว่าน  วัดช้างให้ ในปี พ.ศ.2497   เช่นเดียวกัน

                          สำหรับพระหลวงปู่ทวด ที่วัดแจ้ง  ผู้เขียนเคยเขียนประวัติลงในหนังสือพระเครื่อง เป็นเวลา  3  -  4  ปีมาแล้ว  แต่ขณะนั้นไม่ทราบว่า  แท้ที่จริงแล้ว  พ่อหลวงเป็นผู้สร้างและได้ถวายให้วัดแจ้งไว้ทั้งหมด

                          พ่อหลวงจำพรรษาที่วัดแจ้งได้ระยะหนึ่ง   มีผู้คนไปรบกวนมาก  จนไม่มีเวลาปฎิบัติธรรม และในฐานะที่ท่านเป็นเพียงพระลูกวัด  เมื่อมีคนไปกราบไหว้ท่านมาก ๆ  ก่อให้เกิดความไม่สะดวกหลายอย่าง  ทำให้ท่านคิดขยับขยายออกจากวัดแจ้ง  และตั้งปณิธานว่า  จะต้องสร้างวัดขึ้นเอง  จึงเริ่มซื้อที่บริเวณ  ต.ท่าข้าม  อ.หาดใหญ่  จ.สงขลา  ซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งของวัดโคกสูง ภัทธิยาราม ในปัจจุบัน

ในระยะเริ่มต้นของการสร้างวัด  ท่านต้องประสบปัญหามาก  เนื่องจากไม่ใช่คนแถวนั้น  ชาวบ้านยังไม่รู้จัก  และประการสำคัญ  ท่านไม่มีปัจจัยอย่างเพียงพอ  ต้องกู้เงินมาซื้อที่  การดำเนินการทุกอย่างต้องลงมือเองทั้งหมด  เริ่มตั้งแต่การปรับพื้นที่  การก่อสร้างสถานที่ประกอบศาสนกิจ  ที่พักอาศัย  ซึ่งวัดทั่วไปจำต้องมีกุฎิที่พักพระสงฆ์  พระอุโบสถ  ศาลาการเปรียญ  เมารุเผาศพ  เป็นต้น 

                   แต่เนื่องจากท่านตัวคนเดียว  และการก่อสร้างต้องใช้ปัจจัยมากดังกล่าว  ท่านจึงสร้างกุฎิ  ศาลา  ให้อยู่ในสถานที่เดียวกัน  และยังใช้แทนพระอุโบสถ  คือสามารถบวชพระได้ด้วย

                   ในช่วงกำลังก่อสร้าง  มีประชาชนที่เคารพศรัทธาท่าน  ได้ร่วมทำบุญกับท่านมาเรื่อย ๆ  คนละเล็กคนละน้อย    มีอยู่ครั้งหนึ่ง  ชาวบ้านรวบรวมเงินมาถวายท่านจำนวน  8,000 บาท  ท่านรับเงินแล้วใส่ย่ามไว้  เรื่องการได้เงินทำบุญของท่าน  ล่วงรู้ไปถึงหูของเดนนรกผู้ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษใด     มันผู้นั้นรีบเดินทางมายังวัด  หมายที่จะจี้เงินจากพ่อหลวงที่เพิ่งได้มาหยก     ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว  พ่อหลวงกำลังนั่งพักอยู่โคนต้นไม้  หลังจากที่ทำงานถางหญ้ามาจนเหนื่อย  เจ้าโจรใจบาป  มาเดินวนไปเวียนมาอยู่เป็นเวลานาน  เพื่อหาจังหวะเข้าจี้เงิน  พ่อหลวงเห็นมันมาเดินอยู่นาน  จึงร้องถามไปว่า  มีธุระอะไรหรือลูกบ่าว   มีเรื่องอะไรก็เข้ามาคุยกัน มาดื่มน้ำดื่มท่าแก้กระหายเสียก่อน  ไอ้โจรชั่วจึงได้จังหวะเดินเข้ามาใกล้และถามว่า  วันนี้ได้เงินมา 8,000  บาทใช่ไหม  พ่อหลวงจึงตอบว่าใช่  มันจึงบอกว่าผมอยากได้เงินนั่น  พ่อหลวงจึงพูดขึ้นว่า  แหม นึกว่าต้องการอะไร  ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก   เงินแค่นี้เอง ไม่มีปัญหา  ท่านพูดพร้อมกับล้วงลงไปในย่าม  หยิบเงินออกมาส่งให้

                    เมื่อได้เงินสมใจแล้ว  เจ้าเดนมนุษย์ตัวนั้น  ก็รีบเดินออกไปทางหน้าวัด  ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว  เมื่อมันเดินไปถึงทางเข้าวัด  ก็รีบวิ่งกลับมาหาพ่อหลวง  พร้อมก้มลงกราบและรีบส่งเงินคืนให้  ปากระร่ำระลักพูดกับพ่อหลวงว่า  ผมไม่เอาเงินแล้ว  เดี๋ยวถ้าตำรวจเข้ามา  พ่อหลวงบอกด้วยนะว่าผมไม่ได้เอาเงินพ่อหลวงไป   ข้างนอกมีตำรวจเต็มไปหมดเลยครับ  ท่านจึงบอกว่าออกไปเถอะไม่มีอะไรหรอก  เอาเงินไปด้วย  รีบ ๆ  ออกไปซะ  ท่านจะไม่บอกใคร  เจ้าโจรใจร้ายจึงกลับออกไปใหม่  พอใกล้ทางออกจากวัด  ก็วิ่งกลับมาอีก  เพราะเห็นตำรวจยืนอยู่หน้าวัดมากมาย  เมื่อถึงพ่อหลวงก็ส่งเงินคืนอีกครั้ง  และเอ่ยปากสาบานกับพ่อหลวงว่า  ต่อไปจะไม่ประพฤติชั่ว  ขอให้พ่อหลวงพูดกับตำรวจด้วย  พ่อหลวงจึงรับปากและสั่งสอนให้ทำมาหากินโดยสุจริต  เลิกทำความชั่ว  ทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น  มันรับปากแล้วเดินออกไปอีกครั้ง   คราวนี้ออกไปจากวัดได้อย่างสะดวก  เพราะไม่เห็นตำรวจอีกแล้ว

                    ท่านผู้อ่านครับ   เหตุการณ์แบบนี้   จะเป็นเพราะบารมีขององค์พ่อหลวงที่เกิดขึ้นเพื่อท่านจะไม่ต้องสูญเสียเงินให้โจรใจบาป  ที่สามรถปล้นได้แม้กระทั่งพระซึ่งกำลังจะใช้เงินสร้างวัด   หรือเกิดจากการบันดาลของท่าน  ก็ไม่อาจจะทราบได้  เพียงแต่ผู้เขียนสรุปได้ว่า  ถ้าท่านไม่แน่จริง คงไม่เกิดเหตุแบบนี้  และนี่เป็นเพียงอภินิหารเรื่องหนึ่ง   ในหลาย ๆ  เรื่องของท่านพ่อหลวง  ที่ผู้เขียนจะเรียนให้ทราบต่อไป

                     ผู้เขียน  ขอพูดถึงผลงานของท่านที่สร้างไว้ในอดีต แต่คนทั่วไปยังไม่ทราบคือ  การสร้างเหรียญท่านมหาลอย  แห่งวัดปากรอ  ซึ่งปัจจุบันเป็นเหรียญยอดนิยม   และมีราคาแพงที่สุดเหรียญหนึ่งของจังหวัดสงขลา   พ่อหลวงสร้างเหรียญนี้ขึ้นในปี  พ.ศ.2499  ท่านทำพิธีปลุกเสกด้วยตัวท่านเอง  และแจกจ่ายให้แก่ลูกศิษย์ลูกหา  ผู้เคารพศรัทธาในท่านมหาลอย  จนหมด  ต่อมาไม่นานก็มีประสบการณ์เกิดขึ้นกับผู้ใช้บูชาอย่างมากมาย   เหรียญนี้จึงพุ่งขึ้นสู่ความนิยมดังกล่าว  

                      สำหรับประวัติท่านมหาลอยนั้น  ผู้เขียนไม่ทราบอะไรมากนัก  ทราบแต่เพียงว่าประชาชนให้ความศรัทธาต่อท่านมาก   เพราะท่านเป็นพระที่อุทิศตนให้กับพระพุทธศาสนา และชาวบ้านอย่างแท้จริง   ท่านเดินทางไปสอนพระปริยัติธรรมทั่วภาคใต้  ไม่เว้นแม้ถิ่นทุรกันดาร  ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักและได้รับความศรัทธาจากประชาชนโดยทั่วไป

จากการเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ  พ่อหลวงแห่งวัดโคกสูง   หรือหลวงพ่อภัทร ในฉบับที่แล้ว  ได้มีหลายท่านต่อว่าผุ้เขียน  ว่าทำไมเขียนสั้นบ้าง   ทำไมไม่ค่อยมีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวหลวงพ่อบ้าง  บางท่านบอกว่า  อยากรู้เรื่องราวของท่านมากกว่านี้  เขียนมาก ๆ  หน่อยได้ไหม

 

                      ก็คงต้องขอเรียนต่อท่านผู้อ่านอย่างที่ได้เขียนไว้ในตอนแรกนั่นแหละว่า  ผู้เขียนทราบเรื่องส่วนตัวของท่านน้อยมาก  และจากการเขียนที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการสอบถามหรือสัมภาษณ์ท่านแต่อย่างใด  การไปกราบท่านแต่ละครั้งได้คุยไม่มากนัก   ท่านจะไม่ค่อยให้ใครอยู่นาน ๆ   พอไปพบท่านจะถามว่ามีธุระอะไร  เมื่อเสร็จธุระแล้วก็ให้กลับ  ยกเว้นแต่ว่าธุระนั้นต้องใช้เวลานานถึงจะอยู่ได้นานหน่อย  อีกกรณีหนึ่งก็คือมีธุระค้างอยู่แต่ไม่กล้าบอกท่าน  ๆ จะถามจนต้องบอกออกมา    เนื่องจากท่านสามารถหยั่งรู้จิตใจของผู้ที่ไปหาท่าน   เพียงแต่ท่านอาจจะเลือกเป็นบางคนเท่านั้น

 

                       อย่างกรณีที่ผู้เขียนประสบมาด้วยตัวเอง  ตอนที่ผู้เขียนไปหาท่านเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2539  ผู้เขียนได้นำแผ่นทองคำไปด้วยจำนวน  4  แผ่น  ตั้งใจว่าจะขอให้ท่านทำตะกรุด  เป็นตะกรุดโทน  1   ดอก   และตะกรุดชุด  3   ดอก  พอไปถึงท่านถามผู้เขียนว่ามีธุระอะไร  เป็นคำถามทีท่านไม่เคยถามมาก่อน  ผู้เขียนจึงกราบเรียนว่า  คิดถึงพ่อหลวง  และรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ  เลยมากราบพ่อหลวง  ท่านก็ไม่ว่าอะไร  คุยไประยะหนึ่ง  ท่านก็ถามว่ามีธุระอะไรอีก  ผู้เขียนก็หยิบแผ่นทองแดง  ซึ่งนำติดไปด้วย  ขอให้ท่านลงไว้สำหรับเป็นชนวนเทรูปเหมือนนั่งเก้าอี้ของท่าน   ท่านรับไว้แล้วพยักหน้า  จากนั้นคุยกันต่อ  ท่านก็ถามเป็นครั้งที่สามอีกว่า  มีธุระอะไร  ผู้เขียนจึงตอบว่าคิดถึงพ่อหลวง  ก็เลยมากราบพ่อหลวงเฉย   ท่านก็ถามอีกว่า  แล้วมีธุระอะไรอีก  ถึงตอนนี้ผู้เขียนคิดในใจว่าคงจะลังเลไม่กล้าบอกท่านต่อไปอีกไม่ได้แล้ว  ท่านคงทราบด้วยญาณของท่านอยู่แล้วว่า  ธุระใหญ่ของผู้เขียนในการมาหาครั้งนี้   คือต้องการให้ท่านทำตะกรุด  ผู้เขียนจึงหยิบแผ่นทองออกมาให้ท่าน   แล้วบอกว่าอยากให้พ่อหลวงทำตะกรุดด้วยแผ่นทองคำให้ลูกด้วย  ท่านให้ผู้เขียนดึงแผ่นทองออกมาจากซองพลาสติก   รับไปพิจารณาดูแล้วสั่งให้ผู้เขียนเก็บ  และบอกว่าให้มารับในวันที่ผู้เขียนมาร่วมงานทอดกฐิน  จากนั้นก็บอกให้ผู้เขียนกลับไปหาข้าวทานและเข้าโรงแรมพักผ่อน  โดยไม่ชวนคุยต่อ

 

                        ผู้เขียนนำเรื่องนี้มาเล่า   เพื่อจะเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า  พ่อหลวงท่านทราบความรู้สึกนึกคิด  ความตั้งใจ  และเหตุการณ์ต่าง ๆ  เป็นอย่างดี  และที่ผู้เขียนไม่หยิบแผ่นทองและขอให้ท่านทำตะกรุดตั้งแต่ครั้งแรก  เพราะผู้เขียนลังเล  ไม่กล้าขอท่าน  เนื่องจากท่านเคยทำให้ผู้เขียนแล้ว  แต่ผู้เขียนยังอยากได้แบบที่ทำด้วยทองคำ  และเก็บไว้อีกชุดหนึ่ง  เพราะผู้เขียนเชื่อว่า  คงจะไม่มีโอกาสได้ตะกรุดที่มีความขลังและศักดิ์สิทธิ์แบบนี้อีกแล้ว   เมื่อมีโอกาสได้ใกล้ชิดท่านจึงอยากได้ไว้  แต่อย่างที่เรียนนั่นแหละ ผู้เขียนกลัวท่านว่า  และเกรงใจท่าน  แต่ท่านก็ยังรู้ถึงจุดมุ่งหมายของผู้เขียนจนได้  ทั้ง  ๆ ที่ไม่เคยบอกท่านมาก่อน  ดังนั้น  จึงพยายามคาดคั้นเรื่องธุระหรือความตั้งใจของผู้เขียน   จนต้องกล้าขอให้ท่านทำตะกรุดให้   ท่านจึงหยุดถาม

    

 

                    นี่คือสิ่งที่แสดงว่าท่านทราบถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น  และเหตุการณ์ในปริมณฑลรวมถึงที่ไกล ๆ  ถ้าท่านต้องการ   อย่างเช่นในวันที่ผู้เขียนไปทอดกฐินก็เช่นเดียวกัน  ผู้เขียนขับรถไปในวันที่ พฤศจิกายน  2539  ถึงวัดประมาณ  1  ทุ่ม  เข้าไปกราบท่าน ท่านให้สวดมนต์  เสร็จแล้วผู้เขียนนำซองกฐินถวายท่าน  คุยกับท่านได้  2  -  3  คำ  ท่านก็บอกกับผู้เขียนว่า  รีบเข้าเมืองได้แล้ว  พรรคพวกรอทานข้าวอยู่  ผู้เขียนถึงกับสะดุ้ง  เพราะก่อนถึงวัดประมาณ  10  กว่ากิโลเมตร  ผู้เขียนโทร ฯ คุยกับคุณสุธรรม  ว่องวีระ  บอกให้เขาทานข้าวก่อน  เพราะผู้เขียนมาถึงช้า  ยิ่งถ้าผู้เขียนแวะที่วัดก่อนจะยิ่งทำให้เลยเวลาอาหารเย็นมากขึ้น   แต่คุณสุธรรมไม่ยอม  บอกว่าจะรอให้ผู้เขียนโทร ฯ หา  เมื่อออกจากวัดแล้ว  นี่คือสิ่งที่ท่านทราบอยู่ตลอด  และท่านก็ทราบต่อไปอีกว่า   นอกจากผู้เขียนมาทอดกฐินในครั้งนี้แล้ว    ผู้เขียนยังมีความกังวลในใจเรื่องที่ผู้เขียนเรียนต่อท่านผู้อ่านมาตั้งแต่ต้นว่า  ผู้เขียนไม่ทราบประวัติชีวิตความเป็นมาของท่านมากนัก  จึงไม่ได้เขียน  และตั้งใจว่าจะผ่านเลยไป   เพราะผู้เขียนมุ่งมั่นที่จะเสนอต่อท่านผู้อ่านถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพ่อหลวงเท่านั้น

 

                    แต่เมื่อมีผู้อ่านสอบถามมา  ทำให้เรื่องนี้อยู่ในใจของผู้เขียนตลอดเวลา  และด้วยความเมตตาของพ่อหลวง   ที่ท่านได้ให้กับผู้เขียนทั้ง ๆ  ที่ผู้เขียนไม่ได้ถามท่าน  แต่ท่านทราบด้วยญาณว่า  ผู้เขียนคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด  ดังนั้น   เมื่อผู้เขียนไปกราบท่านในวันอาทิตย์ที่  3   พฤศจิกายน  2539  หลังจากทอดกฐินเสร็จเรียบร้อยแล้ว   ท่านจึงนั่งคุยอยู่กับผู้เขียนนานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  และช่วงหนึ่ง  ท่านได้เล่าถึงชีวิตก่อนบวชของท่านให้ฟังคร่าว     ซึ่งผู้เขียนพอสรุปได้สั้น ๆ   ดังนี้

 

                   ท่านเกิดที่จังหวัดพัทลุง  โยมบิดาเสียชีวิตตั้งแต่ท่านยังเด็ก   ต่อมาเมื่ออายุได้  12  ปี  โยมมารดาก็เสียชีวิตลงอีก  ขณะนั้นจนมาก  ไม่มีแม้แต่เงินจะทำศพ  ต้องไปขอยืมเงินจากเจ้าของสวนยางผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง   โดยเอาตัวเข้าไปแลกเป็นทาส  ทำงานทุกอย่างเพื่อใช้หนี้  มีชีวิตที่ลำเค็ญ  ต้องอด ๆ  อยาก     เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก  เพราะท่านเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก    อยู่ในวัยที่ควรจะได้ร่ำเรียน  ได้กินอยู่หลับนอน  มีผู้ใหญ่คอยดูแล  มีเพื่อนได้เล่นหัวเยี่ยงเด็กทั่ว ๆ  ไป 

 

                   แต่ชะตาชีวิตไม่ได้โหดร้ายต่อท่านมากนัก  ก็มีผู้ใหญ่คนหนึ่ง  เห็นท่านลำบากเช่นนั้น  รู้สึกสงสาร จึงนำเงินไปไถ่ตัวท่านออกมา  ในขณะที่ท่านไปใช้หนี้เขาได้ปีเศษ ๆ  จากนั้นท่านก็ไปรับจ้างทำงานหาเลี้ยงตัวไปเรื่อยๆ  จนอายุได้ประมาณ  16  -  17  ปี  ก็เกิดเหตุร้ายแรงกับท่านอีกครั้งหนึ่ง  คือถูกกล่าวหาว่า  ขโมยทรัพย์สินของชาวบ้าน  ทำให้ตำรวจตามจับ  ต้องหนีหัวซุกหัวซุน  และก็เช่นเดียวกับครั้งแรก  คือมีคนออกมาช่วยปกป้องท่าน  รับรองกับตำรวจว่า  ท่านเป็นเด็กดี  ไม่ได้ประพฤติอย่างที่ถูกกล่าวหา  ท่านจึงผ่านเหตุการณ์นั้นไปได้โดยไม่ต้องติดคุก

 

                    เมื่ออายุได้  22  ปี  ซึ่งเป็นช่วงที่อยู่ในเกณฑ์บวชของชายไทยตามประเพณี   ทำให้ท่านหันมาพิจารณาเห็นว่า   ชีวิตของคนมีแต่ความทุกข์ โดยเฉพาะตัวท่าน  ผ่านเหตุการณ์ร้าย  และความยากลำบาก ต่าง  ๆ มามากมายแล้ว  จึงคิดที่จะหาความสงบ  หาแสงสว่างทางธรรม  เลยตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์ 

 

                    ซึ่งในวันที่ท่านบวชนั้น   คงไม่มีใครคิดว่า  จะเป็นวันแห่งการก่อกำเนิดพระอริยสงฆ์  ขึ้นมาเป็นที่พึ่งของชาวบ้านอีกองค์หนึ่ง    เพียงแต่ในวันนั้น  ทุกคนปิติยินดีที่ร่วมงานอุปสมบทพระภิกษุหนุ่มองค์หนึ่ง  และยินดีศรัทธาที่ก่อนบวช   ท่านได้กล่าววาจาต่อญาติโยมที่ไปร่วมอนุโมทนา  และ เป็นเจ้าภาพให้กับท่านว่า   "  ขอให้ทุกท่านตั้งใจให้ดีในการทำบุญกุศลกับข้าพเจ้าครั้งนี้   ข้าพเจ้าจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต  "

 

                    เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนัก  สำหรับคนเราจะตัดสินใจบวชไม่สึก  และเป็นสิ่งที่น้อยคนจะพูดเช่นนั้น  แต่พ่อหลวงเป็นผู้ที่มีความเด็ดเดี่ยว  และมุ่งมั่นท่จะค้นหาหนทางแห่งความพ้นทุกข์  ท่านจึงตัดสินใจโดยเด็ดขาดได้  และจวบจนถึงทุกวันนี้  ก็ได้เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า  ท่านสามารถปฎิบัติภารกิจของสงฆ์  ดำเนินรอยตามพระพุทธองค์โดยไม่เบื่อหน่ายและย่อท้อ 

 

                   ภายหลังจากที่ท่านบวชแล้ว  ได้ออกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขา  จากเหนือจรดใต้  เพื่อฝึกฝนการปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน  เป็นเวลานานถึง  15  ปี  ทำให้ท่านมีสมาธิจิตเข้มแข็ง  ประกอบกับผู้ที่จะเดินทางธุดงค์ในสมัยก่อน  ต้องมีวิชาอาคม  ถึงจะรอดชีวิตมาได้  ท่านจึงมีความเข้มขลังในด้านไสยเวทย์อย่างไม่เป็นสองรองใคร

 

                    สิ่งที่ผู้เขียนเรียนมาข้างต้น  คือ เรื่องราวคร่าว ๆ  เท่านั้น  เพราะตลอดเวลาที่ท่านเล่า  ผู้เขียนฟังอย่างเดียว  ไม่ได้ถามท่าน  โดยคิดในใจว่า  แล้วแต่ท่านจะเล่าให้ฟังมากแค่ไหน  ผู้เขียนก็จะนำมาเสนอแค่นั้น  ถือว่าท่านอนุญาตเท่าที่เล่าให้ฟัง  และต่อไปนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึง   เรื่องของอภินิหารแห่งองค์พ่อหลวง   ที่น่าทึ่งอีกเรื่องหนึ่งคือ

เรื่องของเสี่ยใหญ่   เจ้าของแพปลาและเรือประมง  ฐานะดีคนหนึ่ง  ( ขอสงวนนาม ) เรื่องที่เกิดขึ้น  เป็นอย่างนี้ครับ

 

                  อยู่    กิจการของเสี่ยคนนั้นก็ทรุดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ  ถ้าจะพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว จะบอกว่าไม่ทราบสาเหตุก็ไม่ได้ เพราะสาเหตุที่มองเห็นได้ส่วนหนึ่ง  ที่ทำให้เขาขาดทุนคือ  เรือหาปลาของเขาจับปลาไม่ได้เลย  ออกทะเลกี่เที่ยว ๆ  ก็ไม่ได้ปลา  ทำให้ไม่มีรายได้  มีแต่รายจ่าย  นับว่าเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่ง  เพราะไม่เคยเกิดเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน  เป็นไปได้อย่างไร  ที่ออกทะเลตั้ง  3 -  4  เดือน  ไม่ได้ปลาสักตัว  เสี่ยเจ้าของเรือประมงคงคิดมาก  และ กลุ้มใจตลอด ตัวเขาเองทราบดีว่า  สาเหตุที่ทำให้ฐานะการเงินของเขาตกลง  เพราะการจับปลาไม่ได้  แต่การจับปลาไม่ได้  ต้องเป็นผลมาจากสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ยังไม่อาจจะทราบได้

 

                   แต่เมื่อวิเคราะห์ดูตามรูปการณ์แล้ว  ต้องไม่ใช่เรื่องปรกติ  แต่จะต้องเป็นเรื่องของอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็น  จึงทำให้เขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่า  เขาคงไปทำผิดต่ออะไรสักอย่างหนึ่ง และคงเป็นเรื่องของอิทธิฤทธิ์หรืออภินิหาร  หรือไม่ก็เป็นเรื่องของไสยศาสตร์  เมื่อสรุปได้ดังนั้น  เขาจึงเดินทางไปหาหมอดูบ้าง คนทรงบ้าง  พระอาจารย์ตามวัดต่าง ๆ บ้าง แต่ไม่ได้ผล  เมื่อเวลาล่วงเลยไป  สถานการณ์ของเขายิ่งย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งเขาได้รับการแนะนำจากเพื่อนให้มาหา  "  พ่อหลวง "  แห่งวัดโคกสูง

 

                   เมื่อพบพ่อหลวง  เขาจึงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง  พ่อหลวงนั่งนิ่ง ๆ  ไปชั่วครู่  จึงพูดลอย ๆ ขึ้นว่า  เอาเขาขึ้นมาแล้วยังไปลบหลู่เขาอีก  ดันเอาไปทำที่เขี่ยบุหรี่  จากนั้นท่านจึงหันมาพูดกับเสี่ยว่า  ลูกน้องคุณไปลากอวนติดของขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แทนที่จะทิ้งกลับคืนทะเล  แต่ดันเอาไปทำที่เขี่ยบุหรี่  โยมกลับไปเอาของนั้นมาให้อาตมาจะจัดการให้

 

                    เขาจึงรีบกลับมาบ้าน  ไปที่เรือถามลูกน้องว่า  3  - 4  เดือนที่ผ่านมานี้  มึงลากอวนได้อะไรมาบ้าง  ฝ่ายลูกน้องก็ตอบโดยไม่ต้องคิด  คือไม่ได้อะไรมาเลยเสี่ย  ซึ่งก็จริงอย่างที่ลูกน้องว่า  เพราะลูกน้องเข้าใจว่าถามถึงปลา    เสี่ยจึงถามอีกว่า ที่พวกมึงเอามาทำที่เขี่ยบุหรี่น่ะ   ข้างฝ่ายลูกน้องเมื่อได้ยินดังนั้นจึงนึกขึ้นได้  รีบบอกว่า   อ๋อ!..  นึกออกแล้ว  ผมได้หัวกะโหลกมาอันหนึ่ง  ทำเป็นที่เขี่ยบุหรี่อยู่  เสี่ยจึงสวนกลับทันทีว่า  มึงจะทำให้กูฉิบหายแล้ว  ไปเอาหัวกะโหลกมาแล้วไปกับกู

 

                   จากนั้นเขาจึงพาลูกน้องพร้อมหัวกะโหลก  ซึ่งใช้ทำที่เขี่ยบุหรี่จนเขรอะไปหมด  ไปพบพ่อหลวง   เมื่อได้หัวกะโหลกมาแล้ว  พ่อหลวงก็นำไปล้างน้ำฟอกสบู่  ทำความสะอาดอย่างดี  แล้วนำมาพรมด้วยน้ำอบไทย  จากนั้นจึงนำมาถือไว้ในมือ  เพ่งมองดูหัวกะโหลกนั้น  และพูดขึ้นว่า   คนที่เป็นเจ้าของหัวกะโหลกอันนี้  ถ้ายังอยู่ขอให้ออกมาคุยกันหน่อย  เข้าไอ้ลูกบ่าวนี่ก็ได้  พ่อหลวงพูดพร้อมกับชี้มือไปที่ลูกน้องของเสี่ย    ซึ่งเกิดอาการกระตุกขึ้นมาทันที  และมีกริยาอาการเปลี่ยนไป  พ่อหลวงจึงถามขึ้นว่า  เราเป็นใคร ทำไมจึงต้องไปแกล้งให้เขาเกิดความหายนะ  จวนจะเจ๊งอยู่แล้ว  วิญญาณในร่างของลูกน้องเสี่ยจึงบอกว่า   ตัวเองมีชื่อว่า  หนูลาบ  ตายมาหลายปีแล้ว  เขานำมาโยนทิ้งน้ำ  เมื่อถูกอวนลากติดขึ้นมา  แล้วเอาไปทำที่เขี่ยบุหรี่  จึงโกรธ  เลยแกล้งให้จับปลาไม่ได้   พ่อหลวงจึงบอกว่า   เอาอย่างนี้ก็แล้วกันให้เสี่ยคุยกับหนูลาบ  แล้วตกลงกันเอง

 

                     ฝ่ายเสี่ย  จึงขอให้หนูลาบ  ช่วยให้การทำมาหากินดี  จับปลาได้มาก  จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้

 

                     ด้านหนูลาบ  ได้ฟังดังนั้นดีใจมาก  บอกว่าถ้าเสี่ยทำบุญให้จริง ๆ  จะตกลงช่วย  แต่มีข้อแม้ว่าจะช่วยแค่  3  ปี

 

                     หลังจากนั้น  3  ปี  เสี่ยคนนั้นก็มีฐานะกลับคืนดีกว่าเดิม  เพราะเรือหาปลาออกทะเลกลับมา  ได้ปลาเต็มลำทุกเที่ยว  ปัจจุบันหัวกะโหลกของหนูลาบ  ถูกบรรจุอยู่ในเจดีย์ขนาดเล็ก  ที่วัดโคกสูง

 

                     เรื่องที่ผู้เขียนเล่ามานี้   แสดงให้เห็นถึง อำนาจแห่งพลังจิตและการหยั่งรู้เหตุการณ์ขององค์พ่อหลวง   ตลอดจนความสามารถที่จะติดต่อสื่อสารได้กับวิญญาณที่ตายไปหลายปีและยังสถิตย์อยู่ในหัวกะโหลกของตัวเอง  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในด้านวิชาการไสยเวทย์  ความเข้มขลังในอาคมแห่งองค์พ่อหลวง  ที่หาได้ไม่ง่ายนักในยุคนี้   นี่คือของจริงครับท่านผู้อ่าน

     

 

                  ก่อนที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงวัตถุมงคลของพ่อหลวง  ในชุดที่ผู้เขียนสร้างต่อไป   ขอเรียนต่อท่านผู้อ่านถึงเหตุผลที่ผู้เขียนสร้างวัตถุมงคลของพ่อหลวงเพื่อความเข้าใจสักเล็กน้อย   เพราะหลายท่านอาจจะคิดว่า  ผู้เขียนนำเรื่องราวของพ่อหลวงมาเขียนเผยแพร่เพื่อเชียร์และสร้างวัตถุมงคลขาย  

 

                  ขอเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า  ผู้เขียนมิได้มีเจตนาเช่นนั้น  แม้กระทั่วพ่อหลวงเอง  ท่านก็บอกว่าไม่ต้องไปสนใจวัตถุมงคล  มาสวดมนต์และร่วมทำบุญสร้างกุศลกับท่านดีกว่า  ซึ่งผู้เขียนก็เข้าใจท่าน แต่ด้วยความเป็นปุถุชนที่ยังมีความอยากได้  มีความชอบในวัตถุมงคล  จึงพยายามอธิบายและขออนุญาตท่านในใจโดยไม่ต้องพูดกับท่าน

 

                  สำหรับเจตนาที่แท้จริงของผู้เขียนที่สร้างวัตถุมงคลของพ่อหลวงนั้น  เพราะผู้เขียนอยากมีวัตถุมงคลของท่านหลาย ๆ  แบบเก็บไว้บูชา  เพราะฉนั้น แต่ละรุ่นจึงสร้างน้อยและไม่ค่อยได้ลงโฆษณาจำหน่าย  จะมีก็เพียงพระบูชา  2  รุ่นเท่านั้นที่ลงประกาศเชิญชวนให้ลูกศิษย์ทราบ

 

                 พระทุกรุ่น  ถึงแม้ว่าจำหน่ายไม่หมด  แต่ผู้เขียนก็เฉยๆ  ยินดีแบกรับต้นทุน  ส่วนหนึ่งก็ถวายให้ท่านแจกกับคนที่มาทำบุญที่วัด ส่วนที่ผู้เขียนเก็บไว้ก็คือต้นทุนที่ออกไป  พูดง่าย ๆ คือเช่าไว้เอง  ซึ่งผู้เขียนก็ไม่กังวลอะไร  เพราะผู้เขียนรักวัตถุมงคลของท่านทุกชิ้น   ไม่ว่าวัตถุมงคลนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม  แม้เพียงก้อนหิน ก้อนดิน  ถ้าท่านปลุกเสก  ผู้เขียนก็จะเก็บไว้อย่างดีด้วยความมั่นใจ

 

                  ด้วยความเข้มขลังของท่านนั้น  ถือว่าไม่ธรรมดา  และน่าจะหาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน  ผู้เขียนจึงอยากให้มีพระเครื่องของท่านที่เป็นรุ่นมาตรฐานหลายรูปแบบ  เพื่อให้ลูกศิษย์มีวัตถุมงคลของท่านใช้กันอย่างทั่วถึง  และมีวัตถุมงคลที่เข้มขลังประดับไว้ในวงการ   ในอนาคต  พระระดับท่านคงจะหายากขึ้นเรื่อย ๆ  ถ้าไม่สร้างเก็บไว้ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

 

                  โดยเฉพาะความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนเอง  คิดว่าในอนาคต  คงไม่มีโอกาสพบพระดีเช่นท่าน  หรือแม้จะมีก็คงจะไม่มีโอกาสเช่นนี้

 

                  นอกจากเหตุผลที่เรียนมาข้างต้น   ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่จะยืนยันจิตเจตนาของผู้เขียนคือ  พ่อหลวงไม่ใช่พระที่โด่งดังมาก  ถ้าจะสร้างวัตถุมงคลเพื่อจำหน่าย  เอากำไรมาก ๆ  ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้  ผู้เขียนคงไม่เสี่ยงหรอกเพราะผู้เขียนไม่ได้ร่ำรวยอะไรที่จะมีเงินมาลงทุนมาก ๆ ได้  ทีทำเพราะอยากได้วัตถุมงคลของท่านดังกล่าวมาแล้ว

ล๊อกเก็ด

    

  

 

                  สร้างขึ้นเป็น 2 สี  คือ แบบสี และ แบบสีชีเปีย   แบบสีปิดหลังด้วยแผ่นทอง  แบบสีชีเปีย ปิดหลังด้วยแผ่นเงิน  ด้านหน้าเป็นรูปแบบเดียวกัน  ภายในด้านหลังบรรจุเกศาพ่อหลวง  และผงว่านที่เหลือจากการสร้างหลวงปู่ทวดวัดแจ้ง  เมื่อปี 2505

 

                  จำนวนการสร้าง

 

                                    1.   แบบสี ( หลังทองคำ )   25  อัน

 

                                    2.   แบบสีชีเปีย                100   อัน

 

                   เมื่อจำหน่ายหมด  หักทุนแล้ว  เหลือเงินประมาณ  4 หมื่นบาท นำไปสมทบทุนสร้างเหรียญสี่เหลี่ยม  ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

 

เหรียญพิมพ์สี่เหลี่ยม

 

          

 

                   เหรียญรุ่นนี้  สร้างขึ้นมาเนื่องจาก  ผู้เขียนได้พยายามหาเช่าเหรียญรุ่นแรกของท่าน มาหลายเหรียญ  และได้นำไปให้ท่านปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง  ท่านถามว่าไปเอามาจากไหน  ผู้เขียนบอกว่าไปเช่ามา  พ่อหลวงจึงบอกว่า  อยากได้ทำไมไม่สร้างเอง  ผู้เขียนได้ยินดังนั้น  จึวงตกลงใจทันทีว่าจะทำเหรียญของท่านสักรุ่นหนึ่ง  เพราะการที่ท่านพูดังนั้นเป็นการอนุญาตแล้ว   ผู้เขียนจึงเริ่มดำเนินการ  โดยเริ่มต้นที่การออกแบบว่าจะใช้รูปแบบใด  ต่อเมื่อคิดถึงเหรียญที่พ่อหลวงท่านสร้างให้อาจารย์ของท่าน  คือ เหรียญท่านมหาลอย  วัดแหลมจาก  ปากรอ  ซึ่งปัจจุบัน  เป็นเหรียญเกจิอาจารย์ที่มีราคาสูงที่สุดของจังหวัดสงขลา    ผู้เขียนจึงได้ตัดสินใจใช้รูปแบบเป็นรูป  4  เหลี่ยม  โดยมีรูปแบบเป็นพ่อหลวงนั่งเก้าอี้  เหมือนเหรียญท่านมหาลอย  รายละเอียดของเหรียญมีดังนี้ครับ

 

                   ด้านหน้า         

 

                         เป็นรูปพ่อหลวงนั่งเต็มองค์บนเก้าอี้  มือขวาถือไม้เท้า  ด้านล่างองค์ท่านเขียนว่า หลวงพ่อภัทร  ภัทริโย

 

                    ด้านหลัง

 

                           มียันต์แบบเหรียญรุ่นแรก  คือ พุท ปิดล้อมและล้อมรอบด้วยอักขระขอม  นะ มะ พะ ทะ อะ  บริเวณยอดยันต์มีอักขระขอม  นะ โม พุท ธา ยะ

 

                                    ด้านล่างยันต์มีอักษรภาษาจีนว่า

 

                                            ไฉ เหยิน กว่าง จิ้น

 

                                    แปลว่า  เงินทองจากทุกทิศ  ไหลมาเทมา

 

                                              ใต้ภาษาจีน เป็นหนังสือไทยว่า

 

                                                        วัดโคกสูง  อ.หาดใหญ่

 

                                                                พ.ศ.2539

 

                                                                    อายุ  86

 

                           จำนวนการสร้าง

 

                                     1.  เนื้อทองคำ              39  เหรียญ

 

                                     2.  เนื้อเงิน                  299  เหรียญ

 

                                     3.  เนื้อนวโลหะ            598  เหรียญ

 

                                     4.  เนื้อทองเหลือง   15,000  เหรียญ 

 

    

 

                     

 

                        อนึ่ง  เนื้อนวโลหะนั้น มี พิมพ์ คือ  พิมพ์ไม้เท้ามีขีด  และ พิมพ์ไม้เท้าไม่มีขีด พิมพ์ละ  299  เหรียญ  สาเหตุที่มีพิมพ์เกิดขึ้นดังนี้ครับ

 

                        ครั้งแรก ที่ช่างแกะพิมพ์แล้วปั๊มเหรียญตัวอย่างมา ให้ผู้เขียนดูนั้น  พื้นเหรียญมีความเงามาก  ผู้เขียนจึงสั่งไม่ให้เป็นเหรียญขัดเงา  ให้เป็นแบบเหรียญปั๊มธรรมดา  แต่โดยการที่แกะพิมพ์ดีมาก  เมื่อปั๊มออกมาแล้ว พื้นเหรียญจะมีความเงา  ลูกน้องช่างชัยจึงนำเอาไปทำอย่างไรไม่ทราบ  เพื่อทำให้พื้นเหรียญด้าน  แต่ปรากฎว่าเมื่อทำออกมาแล้ว  พื้นเหรียญเป็นรอยขุดลึกลงไปเต็มพื้นเหรียญไปหมด ซึ่งเป็นทุกเหรียญ  ยกเว้นเหรียญนวโลหะ ที่ปั๊มแล้วเหรียญไม่เป็นเงา  เขาจึงไม่นำเอาไปทำให้ด้าน  เหรียญจึงไม่เสีย  เมื่อเขานำเหรียญมาส่งกับผู้เขียนนั้น  ปรากฎว่าเหรียญไม่สวยงามดังกล่าวมาแล้ว  และจำนวนของเหรียญทองเหลืองยังได้แค่  9,000  เหรียญ  จากที่สั่งทำ  15,000  เหรียญ เมื่อผลออกมาเป็นเช่นนั้น  ผู้เขียนจึงลังเลว่า  จะนำไปปลุกเสกดีหรือไม่  ใช้เวลาคิดอยู่  2  คืน  นอนไม่หลับเลยทั้ง 2 คืน  จึงโทร.ไปหาช่างชัย  บอกว่าไม่สบายใจเลยเพราะเหรียญไม่สวยเลย  ช่างชัยจึงบอกว่า  อย่าเอาไปเลย  เหรียญไม่สวยอย่างนี้  ตัวเขาเองก็จะเสียชื่อ  เขาจะแกะพิมพ์ให้ใหม่  และปั๊มให้ครบโดยไม่คิดเงินเพิ่มจากที่ตกลงกันไว้   ซึ่งนับว่าช่างชัยเป็นช่างที่มีสปิริต และรักษาชื่อเสียงของตัวเองดีพอสมควรทีเดียว

 

                    ในการแกะพิมพ์ครั้งใหม่นี้  ช่างชัยได้ถือโอกาสแกะไม้เท้าให้ละเอียดขึ้น  โดยการใส่ขีดให้เป็นปล้อง ๆ  เพราะครั้งแรกลืมแกะ  สำหรับเหรียญที่เสียนั้น  ช่างได้นำไปยุบทั้งหมด  ยกเว้นเหรียญนวโลหะ  ซึ่งครั้งแรกผู้เขียนตั้งใจจะให้นำไปยุบด้วย   แต่ช่างบอกว่าเอาเก็บไว้เถอะ  เหรียญใช้ได้  เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เสียหายอะไร  จึงเก็บไว้ แล้วนำมาตอกเลข ตั้งแต่  1  -  299  ไว้  ต่อมาเมื่อเหรียญที่ปั๊มใหม่เรียบร้อยแล้ว  พิมพ์ใหม่ไม้เท้ามีขีดก็ตอกเลข  1 - 299  เหมือนกัน  แต่ผู้เขียนเกรงว่าจะดูคล้ายกัน  จึงตอกโค้ดเล็ก แบบที่ตอกในห่วงของเหรียญเนื้อทองคำ  ไว้ด้านหน้าตัวเลขของพิมพ์ไม้เท้าไม่มีขีดอีกตัวหนึ่ง

 

                      ความอยากได้วัตถุมงคลของท่านนั้น  เกิดจากความเคารพศรัทธา  เชื่อมั่นอย่างสูงสุด จนถึงขนาดที่ผู้เขียนคิดจะสร้างรูปเหมือน  ขนาดเท่าองค์จริงของท่านไว้บูชาที่บ้านเพียงองค์เดียว  หลายคนบอกว่าใหญ่ไป  ขนาด  16-19 นิ้วก็ใหญ่มากแล้ว  ซึ่งหลายคนก็ยังบอกอีกว่า  ทำองค์เดียวไม่ได้  เขาจะจองกันคนละองค์  การที่ท่านเหล่านั้นจองกันคนละองค์  โดยที่บางคนไม่เคยไปกราบพ่อหลวงนั้น  ส่วนหนึ่งเขาคงเชื่อในตัวผู้เขียน  เพราะเห็นผู้เขียนเชื่อมั่นในองค์พ่อหลวงมาก  ไม่เพียงแต่คนรอบ  ๆตัวผู้เขียนเท่านั้น  ผู้อ่านหลายท่านก็ยังให้ความเชื่อถือผู้เขียน  โทร.มาถามเกี่ยวกับพ่อหลวงบ่อย ๆ  ว่า สร้างวัตถุมงคลอะไรบ้าง  จะขอเช่าไว้บูชา  ซึ่งผู้เขียนต้องขอกราบขอบพระคุณไว้  ณ ที่นี้  ที่ทุกท่านได้กรุณาให้เกียรติผู้เขียน   และขอยืนยันในที่นี้เลยว่า  ทุกท่านจะไม่ผิดหวังกับวัตถุมงคลของพ่อหลวงอย่างเด็ดขาด

การตอกโค้ด

 

                                เหรียญเนื้อทองคำ   ตอกโค้ดตัว    2  ตัว คือ  ด้านหลังตอกโค้ดไว้ด้านซ้ายมือเรา และตอกหมายเลขไว้ด้านขวา บริเวณด้านข้างตัวหนังสือจีน  อีกโค้ดหนึ่งเป็นตัว      เช่นเดียวกัน  แต่มีขนาดเล็กกว่า  ตอกไว้ด้านหลังเหรียญ บริเวณในรูที่จะเจาะห่วง  โดยเหรียญทองคำไม่ได้เจาะ  จึงตอกโค้ดไว้

 

        

 

                           

 

                                เหรียญเงิน    ตอกโค้ดตัว      เช่นเดียวกันทองคำ  โดยตอกไว้ระหว่างตัวหนังสือจีน  2  แถว  และตอกหมายเลขไว้ซ้ายมือเรา

 

                         เหรียญนวโลหะ          :  พิมพ์ไม้เท้ามีขีด  ตอกโค้ดไว้ระหว่างหนังสือจีน  และตอก

 

                                                             หมายเลขไว้ด้านขวามือเรา

 

                                                          :  พิมพ์ไม้เท้าไม่มีขีด    ตอกโค้ดไว้ระหว่างหนังสือจีน  2  แถว 

 

                                                             ตอกหมายเลขไว้ด้านขวามือเรา  และตอกโค้ดตัว    เล็กไว้หน้า

 

                                                              หมายเลข

 

                        เหรียญทองเหลือง         ตอกโค้ดไว้ระหว่างตัวหนังสือจีน  2  แถว

 

                  เหรียญสี่เหลี่ยม  ที่สร้างขึ้นส่วนใหญ่  พ่อหลวงได้นำออกแจกให้คนที่มาทำบุญที่วัด  และมอบให้วัดบางวัดไปหาปัจจัย  เมื่องานทอดกฐินวันที่  19  ตุลาคม  2540   ที่ผ่านมา  ผู้เขียนได้ไปร่วมงานด้วย  ท่านก็นำออกมาแจกให้พุทธศาสนิกชน  ชาวมาเลย์เซีย  ซึ่งมาร่วมงานถึง  6  คันรถบัสใหญ่  ชาวต่างประเทศเหล่านี้  จะมาทอดกฐินกับท่านทุถปี  และนับวันยิ่งเพิมเปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ   ไม่เฉพาะชาวต่างประเทศเท่านั้น   แต่รวมไปถึงพุทธศาสนิกชน ชาวไทยโดยทั่ง ๆ  ไปด้วย

 

                  จากการนำเรื่องราวของพ่อหลวงมาเผยแพร่ ในนิตยสารพระเครื่องกรุงสยาม  ได้ประมาณเกือบ    1  ปี   ทำให้หลายคนในท้องถิ่นตื่นตัว  และผู้ติดตามเรื่องราวในภาคอื่น    เสาะหาวัตถุมงคลของท่านมากขึ้น  ทำให้ราคาวัตถุมงคลของท่านขยับสูงขึ้น  โดยเฉพาะเหรียญรุ่นแรก  ในขณะที่ผู้เขียนเสนอเรื่องท่านใหม่ ๆ   นั้น มีราคาอยู่ที่เหรียญละ  300  -  400  บาท  แต่ปัจจุบันขึ้นไปถึง  1,500  - 2,000   บาท  ดังนั้นจึงมีผู้ไปรบกวนท่านขอสร้างวัตถุมงคลกันยกใหญ่   ก็เป็นธรรมดาแหละครับ  ย่อมมีทั้งเจตนาดี  และ พวกแอบอ้าง  พ่อหลวงจึงได้ปฎิเสธไปเสียเป็นส่วนใหญ่  ท่านยังบอกกับผู้เขียนว่า ไอ้พวกนี้  มันเดินสายขอสร้างพระไปทั่ว   พ่อหลวงไม่สนใจหรอก

ในฉบับที่แล้ว   ผู้เขียนได้เสนอวัตถุมงคลของพ่อหลวง  ถึงเรื่องเหรียญสี่เหลี่ยมไป  ได้มีผู้สนใจติดต่อไปที่วัดเพื่อขอเช่าจำนวนมาก  พร้อมกับมีคนโทร.ต่อว่าผู้เขียนหลายคน  บอกว่าไม่เห็นรู้เรื่องเลย  ทำไมไม่ออกข่าวบ้าง  ก็อย่างที่ผู้เขียนได้เคยเรียนไว้แล้วว่า  ไม่อยากโฆษณามาก  เพราะโฆษณาออกไปก็มีคนรู้จักน้อย  จึงใช้วิธีบอกกล่าวต่อ  ๆ กันไป  จึงจำหน่ายได้น้อย  แต่เมื่อลงเรื่องไป  ขณะนี้ก็ใกล้หมดแล้วสำหรับเนื้อทองคำ   เงิน และนวโลหะ   ลำดับต่อไป  ผู้เขียนขอเสนอวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นพร้อมเหรียญสี่เหลี่ยมคือ

 

              *** พระนาคปรกใบมะขาม

 

                            จำนวนการสร้าง

 

                                      1.     เนื้อทองคำ                    86    องค์

 

                                      2.     เนื้อเงิน                         199   องค์

 

                                      3.      เนื้อนวโลหะ                  199   องค์

 

                                      4.      เนื้อทองแดง               9,000  องค์

             

 

           

 

            

 

           

 

                         พระทั้งหมด  ตอกโค้ดตัว    ขนาดเล็กที่ตอกในห่วงของเหรียญสี่เหลี่ยม เนื้อทองคำ  สำหรับการตอกหมายเลขนั้น  ตอก  3  เนื้อคือ  ทองคำ  เงิน  และ นวโลหะ

 

              *** พระรูปเหมือนบุชา  นั่งเก้าอี้  

 

       

 

  

 

 

                            สร้างขึ้นเนื่องจาก พระบูชา  9  นิ้วรุ่นแรกหมด  มีลูกศิษย์หลายคนที่ไม่ได้ไปบูชามาบ่นกับพ่อหลวง    จึงเรียกผู้เขียนไปแล้วบอกว่า  ทำขึ้นมาอีกรุ่นหนึ่งเป็นแบบนั่งเก้าอี้  ท่านสั่งให้ทำราคาไม่แพง  แต่ผู้เขียนอยากได้ที่ประณีตสวยงาม  จึงบอกกับช่างว่า ทำให้สวยหน่อย โดยมีราคาพอสมควร  ปรากฎว่าช่างปั้นเก้าอี้ออกมาสวยงามอลังการมาก  แต่คิดค่าทำค่อนข้างสุงมาก คือ จำนวน  199  องค์ ค่าทำองค์ละ  1,900  บาท  ทำให้ผู้เขียนต้องตั้งราคาองค์ละ  4,000  บาท 

 

                           ความจริงราคาที่ออกจำหน่ายนั้น  หลายคนเมื่อเห็นชิ้นงานแล้ว  ต่างพากันบอกว่าไม่แพง  แต่เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี  จึงมีคนจองไม่มากนัก  ผู้เขียนจึงตัดสินใจลดจำนวนการสร้างลงเหลือ  108  องค์  ช่างขอคิดค่าทำองค์ละ  2,500  บาท  ผู้เขียนถึงกับสะอึก  จะไม่ทำก็ไม่ได้  เพราะมีคนจองมาบ้างแล้ว  จำต้องทำในราคาองค์ละ  2,500  บาท  โดยช่างไม่ยอมลดราคา  นำออกจำหน่าย  ราคา  4,000  บาท  ให้เปอร์เซ็นต์กับหน่วยรับจอง  10 %  เหลือองค์ละ  3,600  บาท  ค่าใช้จ่ายในการขนไปปลุกเสกรวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ  แล้วตกอีกองค์ละ  ประมาณ  150  บาท  สรุปแล้วเหลือกำไรองค์ละ  750 บาท  นี่ยังไม่รวมค่าเดินทางของผู้เขียนอีกหลายรอบ  นอกจากนี้  พ่อหลวงยังแจกไปอีก  10  องค์ เมื่อคิดกำไรแล้วเหลือแค่สี่หมื่นกว่าบาท  ไม่เกินห้าหมื่น  แต่ปัจจุบัน พระยังเหลืออยู่ที่ผู้เขียนอีก  20 กว่าองค์ ยังไม่คืนทุนที่ลงไป

 

                           เหตุที่ค่าทำแพง  เพราะการเท ค่อนข้างยาก  อ้นเนื่องมาจากเก้าอี้  ต้องเท ครั้ง  เทองค์พ่อหลวง  เทไม้เท้า และตราแปดเหลี่ยมที่มีรูป  ฮก ลก  ซิ่ว  แยกกันทุกส่วน  นอกจากนี้ ตัวเก้าอี้นั้นเทแล้วใช้ไม่ได้เป็นจำนวนมาก  เพราะตัวเก้าอี้ ประกอบไปด้วยลวดลายนูนที่เป็นรูปสัตว์มงคลของจีน ได้แก่  หงส์  มังกร  เสือ  กิเลน ต้นสนใต้เก้าอี้  ซึ่งเป็นพื้นรองเก้าอี้  มีค้างคาว  5  ตัว  ล้อมรอบเครื่องหมายหยินหยาง  ทั้งหมดเป็นเครื่งหมายของความเป็นมงคลทั้งสิ้น  

 

                          เมื่อช่างปั้นออกมาแล้ว  ดูสวยงามมีความหมาย  ทำให้ผู้เขียนไม่กล้าเปลี่ยนแปลง  อีกประการหนึ่ง การที่ช่างปั้นออกมาดีแบบนี้  ถูกใจผู้เขียนมาก  เพราะถ้าไม่ดีแล้วผู้เขียนไม่อยากทำ  ยิ่งเป็นของพ่อหลวงด้วยแล้ว  ผู้เขียนยิ่งอยากทำให้สวยงาม  เพราะงานแบบนี้  ถือเป็นประติมากรรมประเภทหนึ่ง ที่ควรจะมีศิลปที่สวยงาม  มีคุณค่าน่าหวงแหน  ด้วยความคิดที่ว่า  ถ้าทำแล้วต้องทำให้ดี  จึงมักเป็นเหตุให้ต้นทุนในการสร้างวัตถุมงคลที่ผู้เขียนทำบานปลายออกไปเรื่อย ๆ  อย่างเช่นการทำพระรุ่นต่อมาของพ่อหลวงที่กำลังอยู่ระหว่างจัดสร้างอยู่  คือ  พระกริ่งภัทริโย  ซึ่งผู้เขียนขอถือโอกาสนำเอารายละเอียดอย่างสังเขป  มาเสนอต่อท่านผู้อ่านดังนี้

                      

 

                       

***  พระกริ่งภัทริโย

 

                              นับเป็นพระกริ่งรุ่นแรก  ของพ่อหลวง  ดังนั้น  ผู้เขียนต้องขออนุญาตถวายนามพระกริ่งรุ่นนี้  ตามฉายาของท่าน

 

                         

                        

                               ความคิดในการสร้างพระกริ่ง  มีอยู่ในใจของผู้เขียนมานานแล้ว  และได้เคยคุยกับช่างไว้ก่อนว่า  อยากสร้างพระกริ่ง  ซึ่งช่างได้ทำตัวอย่างมาให้ผู้เขียนดู  ในช่วงของการทำเหรียญสี่เหลี่ยม  แต่เห็นว่าวัตถุมงคลรุ่นอื่น ๆ  ยังทำไม่เสร็จจึงเฉย ๆ  อยู่  จนกระทั่งช่วงที่ผู้เขียนไปทอดกฐินที่วัด  เมื่อวันที่  18  ตุลาคม  2540  เห็นว่าพ่อหลวงกำลังสร้างหอฉัน  จึงได้เรียนท่านว่า ผู้เขียนจะทำพระกริ่งเพื่อหารายได้มาสมทบทุนในการสร้าง  โดยกำหนดเททองในวันที่  14  พฤศจิกายน 2540  ซึ่งตรงกับวันลอยกระทง  หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12  และผู้จองจะได้รับพระประมาณกลางเดือนมกราคม  2541  ซึ่งขณะเขียนต้นฉบับอยู่นี้  ได้เททองผ่านไปเรียบร้อยแล้ว

 

                            =   พุทธลักษณะ   ถอดแบบจากกริ่งจีนใหญ่  นำมาตกแต่งพระพักตร์ และรายละเอียดเสียใหม่  โดยเฉพาะพระพักตร์  และองค์พระ  เน้นให้มีความอวบอิ่มได้ลักษณะ  ซึ่งเมื่อออกแบบมาแล้ว ผู้เขียนพอใจมาก  เพราะไม่เหมือนใคร  ถึงแม้ว่าจะถอดแบบมาจากกริ่งใหญ่เช่นเดียวกับพระกริ่งอีกหลายสำนัก

 

                             =   โลหะส่วนผสม    ผู้เขียนเน้นให้ช่างใส่ส่วนผสมให้ครบสูตรของนวโลหะ  และมียันต์บังคับตามตำรับของสมเด็จพระพนรัตน์  วัดป่าแก้ว  คือ  ยันต์นะปถมัง  14  นะ  ยันต์ 108 ดวง  รวมทั้งเพิ่มพระยันต์ดวงประสูติพระพุทธเจ้า  ยันต์โสฬสมหามงคล  108  แผ่น  ยันต์ดวงสุกิตติมา  108  แผ่น  อุปกรณ์ทั้งหมดดังกล่าว  ผู้เขียนเป็นผู้จัดหา และนำให้พ่อหลวงปลุกเสกก่อนหลอมโลหะ

 

                       นอกจากนี้  ผู้เขียนยังได้รับความกรุณาจาก  คุณสุธันย์  สุนทรเสวี  ได้มอบชนวนพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์  และครอบน้ำมนต์ที่มีชื่อเสียงของสำนักต่าง ๆ  รวมทั้งชนวนพระกริ่ง - พระชัยวัฒน์ เหรียญหล่อ  และพระบูชาทุกรุ่นที่เคยสร้างมา

 

                       คุณสุธันย์  ยังได้มอบแผ่นยันต์ที่ลงและปลุกเสกโดยพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศที่ได้เก็บรวบรวมไว้ด้วยความอุตสาหะ  ให้กับผู้เขียนอีก เป็นจำนวนถึง  300  กว่าแผ่น

 

                       เมื่อผู้เขียนเห็นก็ต้องตกใจ  เพราะคุณสุธันย์ นำมามอบให้เอง  โดยการฝากไว้ที่ทำงาน  เป็นการมอบให้  โดยไม่ได้เรียกร้องเงินทองแม้แต่บาทเดียว ทำให้ผู้เขียนตื้นตันมาก  ยังนึกถามตัวเองว่า ถ้ามีคนมาขอเรา ๆ จะกล้าให้อย่างนี้หรือเปล่า 

 

                        ที่สำคัญคือ  ผู้เขียน  ไม่เคยทำอะไรให้กับคุณสุธันย์ มาก่อนเลย  จึงโทร.กลับไปขอบคุณและบอกว่า  ผมเกรงใจพี่จังเลย  คุณสุธันย์กลับบอกว่า  เอาไปเถอะ  ผมอยากให้คุณสุวัฒน์ เทพระกริ่งให้ท่าน  เพราะท่านไม่ธรรมดา  ผมเคยไปกราบท่านมาแล้ว  ผู้เขียนจึงขอกราบขอบคุณพี่สุธันย์ ไว้ ณ ที่นี้

 

                              =  ฤกษ์เททอง

 

                                         วันที่   14  พฤศจิกายน  2540   เวลา    20.29  น.

 

                         การเททองหล่อพระกริ่งครั้งนี้  ผู้เขียนมีความตั้งใจสูงมาก  จึงติดต่อขอให้ช่างไปเทที่วัดทั้งหมด  โดยการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้

 

                                จำนวนการสร้าง

 

                        1.   พระกริ่งเนื้อทองคำ                              12      องค์

                        2.   พระกริ่งเนื้อนวโลหะก้นอุดทอง              89      องค์

                        3.   พระกริ่งเนื้อนวโลหะก้นอุดนวโลหะ       599      องค์

                        4.    พระกริ่งเนื้อนวโลหะก้นอุดนาค              11      องค์

                        5.    บาตรน้ำมนต์ภัทริโย                               32     ใบ

 

       

 

     

 

  ทองชนวนที่ใช้ในการทำพระกริ่ง

 

     

 

    

 

        แผ่นพระยันต์ของเกจิอาจารย์ทั่วประเทศ  และทองชนวนต่าง ๆ

 

 

 

                    

 

                     

 

                   

 

 หลวงพ่อภัทร ปลุกเสกพระยันต์ นะปถมัง 14 นะ  พระยันต์ 108 ดวง พระยันต์ดวงประสูติพระพุทธเจ้า พระยันต์โสฬสมหามงคล  พระยันต์ดวงสุกิตติม

 

               

 

              

 

หลวงพ่อภัทร  นั่งเป็นประธานในพิธีเททองที่วัดโคกสูง  

 

      

 

    

 

                               พระกริ่งช่อแรก

 

                  

 

             

 

       

สำหรับพระกริ่งเนื้อนวโลหะก้นอุดนาค   ที่มีจำนวนเพียง  11  องค์นั้น  เดิมไม่ได้กำหนดไว้ในการสร้าง  แต่เกิดจากการเทพระตัวอย่างของช่าง  จำนวน  20   กว่าองค์  แต่เลือกที่สวยงามไว้ได้  11  องค์  และนำมาเป็นตัวอย่างให้ลูกศิษย์หลาย  ๆ คนได้ติชม  เมื่อถึงเวลาเททอง  ช่างจะนำไปยุบ  คณะผู้จัดสร้างเห็นแล้วเสียดาย  เพราะเป็นองค์พระมาแล้ว  จึงคิดว่าควรจะเก็บไว้  โดยนำมาอุดก้นทีแตกต่างออกไป  และที่ให้เป็นนาค  เพราะเห็นว่าก่อนบวชพระต้องบวชนาคก่อน  ดังนั้น  เมื่อเป็นพระตัวอย่าง  ยังไม่ใช่พระที่ไปเททองที่วัด  จึงควรอุดด้วยนาค

 

                     ด้วยความตั้งใจในการสร้างพระกริ่งภัทริโย  เพื่อให้เป็นพระกริ่งที่มีคุณค่า  มีความเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์  ตามกรรมวิธีการสร้างแบบโบราณ  โดยการผสมผสานระหว่างตำรับไทยและแนวทางของธิเบต นั้น  ตามตำรับของธิเบต  ได้บ่งบอกถึงคุณภาพ  และกรรมวิธีของการทำผลกริ่งว่า จะต้องมีการจารึกพระนามของพระเจ้า  5  พระองค์  คือ  พระกุกกุสันโธ   พระโกนาคมโน  พระกัสสโป  พระโคตรโม  และพระศรีอาริยเมตตรัยโย    ซึ่งมีพระนามย่อเป็นอักษรขอม 

 

   

 

    

 

    

 

  

 

                           ผู้เขียนจึงสั่งให้ช่างแกะโค้ดอักขระขอม 5 คำดังกล่าว  มาตอกที่เม็ดกริ่งทุก ๆ เม็ด  ๆ ละ 5 ตัว  ซึ่งผู้เขียนคิดว่า  เป็นครั้งแรกที่มีการดำเนินการสร้างด้วยความพิถีพิถัน  เช่นนี้ ทุกคนที่ทราบเรื่อง รวมทั้งช่างเอง  ยังไม่เชื่อว่าผู้เขียนจะทำได้  แต่ขณะนี้  ผู้เขียนได้ตอกอักขระทั้ง 5 คำลงบนเม็ดกริ่งแต่ละเม็ดได้เป็นจำนวนมากแล้ว

 

                          ขณะที่เขียนต้นฉบับนี้  มีเพื่อนคนหนึ่งโทร.คุยกับผู้เขียนว่า   เขาได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พรรคพวกฟัง  ปรากฏว่า  เขาไม่เชื่อ พร้อมกับบอกว่าไม่เคยเห็นวัดไหนเขาทำกัน  ผู้เขียนจึงบอกว่า  ได้คิดเรื่องนี้ไว้เหมือนกันว่า  คงมีคนไม่เชื่อ  เพราะเม็ดกริ่งอยู่ข้างในไม่มีใครมองเห็น  เพื่อแสดงให้เห็นว่าทำจริง  จึงนำไปถ่ายรูปขยายไว้  พร้อมกับให้คนอีกหลายคนดูเป็นพยานอีกครั้งหนึ่ง

 

                         นอกจากนี้  ผู้เขียนยังอธิบายต่อว่า  ที่ทำเช่นนั้น เพราะต้องการทำให้วัตถุมงคลของพ่อหลวง  สมบูรณ์ในด้านเคล็ด และ พิธีกรรม  รวมทั้งการบรรจุพลังจิต  ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าพ่อหลวงทำได้อย่างสุดยอดอยู่แล้ว

 

                         รวมความแล้ว ผู้เขียนต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุด  เพื่อให้พระของพ่อหลวงอยู่ในวงการอย่างอมตะ  ไม่เพียงแค่ที่ผู้เขียนกล่าวมาแล้ว  ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนทำ  เพื่อให้คนที่บูชาพระกริ่งรุ่นนี้ไปไม่ผิดหวัง  ความจริงผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจจะเล่า  เพราะต้องการแสดงให้ท่านผู้อ่าน  และผู้ที่สงสัย  เห็นความตั้งใจของผู้เขียนว่า  ไม่ได้ทำเพื่อหากำไรอย่างเดียว  แต่ผู้เขียนต้องการให้วัตถุมงคลของพ่อหลวงสมบูรณ์ดังที่กล่าวมาแล้ว   ด้านเนื้อหาสาระต้องดีด้วย  

 

                    ทั้งนี้  ผู้เขียนตกลงกับช่างที่ทำว่า  อย่างน้อยต้องใส่ทอง   1   บาท ต่อโลหะที่ผสม 1 กิโลกรัม   ช่างตกลง และแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการมอบเงินให้ผู้เขียนไปซื้อทองจำนวน  20  บาท เพราะคาดว่าจะใช้โลหะประมาณ  20  กิโลกรัม  ซึ่งการใส่ทอง  1  บาท ต่อโลหะ 1 กิโลกรัม  ถือว่าได้มาตรฐานที่ดีมากในการเทพระกริ่งในยุคปัจจุบัน   เพราะส่วนใหญ่จะใส่กันไม่ถึง  ยกเว้นกลุ่มคนที่ทำไว้ใช้กันเองจำนวนไม่มาก   ที่จะใส่กันมากกว่านี้  อาจจะถึง  2  บาทต่อโลหะ  1  กิโลกรัม

 

                    สำหรับกรณีพระกริ่งของพ่อหลวงนี้   นอกจากทองของช่างแล้ว  ผู้เขียนยังนำเอาทองของผู้เขียนไปเองอีก จำนวน  10  บาท  ผสมใส่ลงไป  ทองอีก 10  บาท ที่ผู้เขียนนำไปนั้น  ถ้าเฉลี่ยแล้ว ต้นทุนพระจะเพิ่มขึ้นอีกองค์ละเกือบ  100  บาท  ผู้เขียนก็ไม่เสียดาย  ความจริงผู้เขียนไม่ต้องใส่เพิ่มลงไปอีกก็ย่อมได้   แต่อย่างที่เรียนมาแล้วว่า  ผู้เขียนต้องการให้ผู้ที่ครอบครองพระกริ่งภัทริโย  ได้ของดีทั้งเนื้อหา  และ พุทธคุณที่สูงส่ง

 

                    เมื่อพูดถึงพุทธคุณ  ต้องขอเรียนเพิ่มเติมว่า พ่อหลวงนอกจากจะมีพลังจิตกล้าแข็ง  มีญาณสมาบัติชั้นสูงแล้ว  ท่านยังมีญาณพิเศษ  หยั่งรู้ถึงวิบากกรรมของแต่ละบุคคล  ที่สำคัญคือทราบวิธีแก้ หรือช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ด้วย   ซึ่งเป็นความพิเศษที่หาได้ยากยิ่ง  ผู้เขียนจึงอาราธนาให้ท่านปลุกเสกให้พระกริ่งรุ่นนี้  มีความศักดิ์สิทธิ์ นอกเหนือจาก คงกระพัน  มหาอุตม์  แคล้วคลาด  เมตตามหานิยม  และความศักดิ์สิทธิ์ตามจตุรอาถรรพณ์แห่งพระกริ่งแล้ว   ยังขอให้พระกริ่งรุ่นนี้  ช่วยให้ผู้ที่ครอบครองที่เป็นสุจริตชนพ้นจากวิบากกรรม  เพื่อประกอบอาชีพ  การงาน  ค้าขาย  ประสบผลสำเร็จโดยผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ  ที่มีวิบากกรรมหนักให้เป็นเบา   ที่เบาให้พ้นไป

 

                    สำหรับความสามารถพิเศษในด้านนี้ของพ่อหลวงนั้น   มีผู้พบประสบการณ์มาแล้วมากมาย ทั้งเรื่องของการเลื่อนยศ  เลื่อนตำแหน่ง  ทั้งการค้าขายที่ประสบการขาดทุนจนล่มจม  ท่านได้ช่วยมาแล้วทั้งนั้น   เอาไว้ฉบับหน้าครับ  ผู้เขียนจะเล่าให้ฟัง

              

 

 

 

         วัตถุมงคลของพ่อหลวง

 

                              พูดถึงวัตถุมงคลของพ่อหลวงที่ท่านทำเองในรูปของเครื่องรางของขลัง และในรูปของท่าน  ตามที่ผู้เขียนได้รวบรวมดู  นับว่ามีจำนวนไม่มากนัก  ถ้าจะนับกันแล้วถือว่าค่อนข้างน้อยไปด้วยซ้ำ  สำหรับพระสุปฎิปันโนที่มีความเชี่ยวชาญและเข้มขลังเช่นท่าน  ทั้ง ๆ ที่ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย แต่เป็นเพราะท่านไม่ค่อยอนุญาตให้ใครสร้างวัตถุมงคลของท่าน จึงมีน้อยดังกล่าว 

 

                              ส่วนตัวของท่านเอง  เมื่อสร้างแต่ละครั้ง ก็จะแจกไปได้นาน  แม้แต่เหรียญรุ่นแรกของท่าน  ปัจจุบันนี้ยังแจกไม่หมดเลย  ที่เป็นเช่นนี้เพราะท่านไม่ค่อยจะให้ใครง่าย ๆ  ท่านจะพิจารณาให้เฉพาะคนที่มีความเชื่อถือศรัทธาต่อท่าน  คนทั่ว ๆ  ไป ถ้าขอวัตถุมงคล  ท่านก็จะให้แต่ไหมสีต่าง ๆ  ที่ถักขึ้นคล้าย ๆ เปียสำหรับผูกข้อมือ  โดยจะผูกให้ด้วยตัวท่านเอง   ซึ่งผู้เขียนก็ได้รับการผูกจากท่าน  พอเก่าหรือหลุดท่านก็จะผูกให้ใหม่  ท่านเคยบอกกับผู้เขียนว่า  ถ้าลูกเชื่อพ่อหลวง  เพียงแค่ไหมที่ผูกข้อมือนี่ รับรอบว่าลูกจะไม่ตายโหง  ความจริงผู้เขียนไม่อยากนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง  เกรงว่าท่านผู้อ่านจะเข้าใจผิดคิดว่าท่านอวดอ้างวัตถุมงคลของท่าน   แต่จริง ๆ แล้วท่านไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครอย่างที่ท่านพูดกับผู้เขียน  แม้แต่ลูกศิษย์ใกล้ชิด  ยังแปลกใจว่า  ทำไมท่านพูดเรื่องนี้กับผู้เขียน  พวกเขาเองพ่อหลวงยังไม่เคยพูดแบบนี้ด้วย   ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนทราบดีว่า  ผู้เขียนมีความศรัทธาเชื่อถือท่านจนหมดจิตหมดใจ  ท่านจึงพูดให้ฟัง

 

วัตถุมงคลที่ผู้เขียนรวบรวมได้มีดังต่อไปนี้คือ

 

                    1.   ไหมถักผูกข้อมือ*****

 

                                  เป็นวัตถุมงคลที่ท่านทำเพื่อผูกข้อมือให้ผู้ไปขอเครื่องรางของขลังจากท่าน  หรือผู้ที่ไปทำบุญแล้วท่านไม่มีอะไรจะให้  ท่านก็จะผูกข้อมือให้ด้วยไหมถัก  ซึ่งมีลักษณะเหมือนเปีย  คือนำเอาด้ายสีต่าง ๆ  บางคราวก็สีเดียวกัน มารวมกันแล้วถักตรงกลางยาวประมาณ  2  นิ้ว โดยปล่อยหัวท้ายเป็นเส้นยาวออกมาข้างละประมาณ  6 - 7  นิ้ว 

    

  

 

                                   ถึงแม้ว่าจะเป็นวัตถุมงคลที่ทำขึ้นอย่างง่าย ๆ  แต่ว่าขลังนัก  เพราะทำและปลุกเสกโดยพระผู้ทรงอภิญญา และเป็นเรื่องแปลกมากที่ใครเห็นผู้เขียนผูกข้อมืออยู่  ก็มักจะขอบ้าง

.   ตะกรุด*****

 

                            ถือเป็นวัตถุมงคลหลักของท่านที่ทำแจกให้ลูกศิษย์และผู้เคารพศรัทธาท่านจริง ๆ  และการจะมอบให้ใครก็ยากจริง ๆ ด้วย   เพราะท่านจะพิจารณาถึงความเชื่อมั่นศรัทธา  คน ๆ นั้น   การพิสูจน์ก็ไม่ยาก เนื่องจากท่านรู้จิตใจคนที่ไปหาท่านตั้งแต่เดินเข้าวัด  ใคราที่ไม่ศรัทธาท่านก็ไม่อยากให้  เพราะท่านถือว่าของ ๆ ท่านมีค่า  ทำด้วยความยากลำบาก คนรับไปแล้วเอาไปทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ  ก็ไม่มีประโยชน์

 

                            ตะกรุดของพ่อหลวงจะทำหลายแบบ  นั่นคือ  ตะกรุดโทน  ตะกรุดชุด 3 ดอก  5 ดอก  7 ดอก และ  9 ดอก

 

     

 

 

 

 

 

 

 

                            ตะกรุดในยุคแรก    ท่านจะทำโดยลงยันต์บนแผ่นทองแดง  ยาวประมาณ  4  นิ้ว และลงผ้ายันต์อีก 2 ผืน  ม้วนแยกกันทั้ง 3 ชิ้น  จากนั้น นำมาเรียงกันให้ตะกรุดอยู่ตรงกลาง  แผ่นผ้ายันต์อยู่ด้านข้าง  ถักด้วยด้านในล่อน  โดยมีเชือกร่มเป็นแกนกลาง  ทำให้ช่วงที่ถักด้วยด้านในล่อนยาวประมาณ 1 ฟุตกว่าๆ  มีลักษณะสวยงามมาก  ท่านบอกว่าใช้เวลาทำนานประมาณ  10  วันต่อ 1 เส้น  ในระยะหลัง ๆ  ถ้าเป็นตะกรุดโทน  ท่านจะใช้ผ้ายันต์หุ้มตะกรุดแล้วถัก  ถ้าเป็นตระกรุดชุดจะไม่มีผ้ายันต์  แต่จะร้อยด้วยเชือกไนล่อน แล้วถักด้วยด้านไนล่อนเส้นโตๆ  สีต่าง ๆ   แต่ถ้าเป็นชุดเดียวกันจะใช้สีเดียวกัน  โดยเว้นระยะห่างเท่า ๆ กัน  ดอกหนึ่งยาวประมาณ  2  นิ้วครึ่ง

 

                            ตะกรุดทั้งหมด    พ่อหลวงจะลงมือทำด้วยตัวท่านเอง  ตั้งแต่ลงยันต์และการถักด้ายหุ้ม  ตามหลักการของท่าน  จะต้องถักหุ้มทุกดอกพร้อมมีสายคาด  แม่แต่ตะกรุดที่ทำด้วยแผ่นทองก็ไม่มีข้อยกเว้น  ท่านบอกว่าเวลาถัก ต้องบริกรรมคาถากำกับด้วย   วัตถุมงคลอย่างนี้หละครับที่ผู้เขียนถือว่าทรงคุณค่ามากที่สุด   เพราะเป็นการทำด้วยมือของท่านเองทุกขั้นตอน  ท่านเคยพูดกับผู้เขียนว่า  จะเอาสวยไม่ได้หรอก  เพราะทำแบบโบราณ  แต่ผู้เขียนกลับมองว่าสวยและน่าศรัทธามาก

 

                            ผู้เขียนเองเชื่อมั่นในตะกรุดของท่านเป็นอย่างสูง  ที่ผ่านมาผู้เขียนแทบจะไม่ได้คาดตะกรุดเลย  แต่หลังจากผู้เขียนได้รับมอบตะกรุดที่พ่อหลวงทำให้  ผู้เขียนจะคาดชุดหนึ่งที่เอว  และอีกชุดหนึ่งพกใส่กระเป๋าเสื้อ  ตามที่ท่านบอกไว้ทุกวัน  ท่านยังบอกกับผู้เขียนในขณะที่ไม่มีคนอื่นอยู่ว่า   "  พ่อหลวงไม่ให้เสียชื่อลูกศิษย์วัดโคกสูงหรอก  " 

 

                           ลูกศิษย์ของพ่อหลวง  รวมทั้งนักพระเครื่องหลายท่าน  เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า  สมัยก่อนมีคนไปขอลองความเข้มขลังของท่านมาก  โดยเฉพาะชาวบ้านที่ไม่ใช่ชาวพุทธ  พ่อหลวงจะลงยันต์บนแผ่นทองแดงบ้าง  แผ่นผ้าบ้าง  พวกนั้นจะนำไปวางบนตอไม้ แล้วจ่อยิง  ปรากฏว่ายิงไม่ออกสักครั้งเดียว  จนเขาเหล่านั้นยอมรับและไหว้ด้วยความเกรงใจท่านมาก  เมื่อท่านสร้างวัดใหม่ ๆ  ศาลาซึ่งเป็นกุฎิที่ท่านอยู่ในปัจจุบัน  พวกเขาก็ขนไม้ ขนเสา มาให้ท่านสร้าง  นับว่าท่านเหล่านั้นมีใจเป็นกุศลมากกว่าชาวพุทธบางคนเสียอีก  

 

                          ในความเข้มขลังของท่าน  ทำให้ทหารในยุคนั้น  ทหารที่จะไปรบในเวียดนามพากันมาขอวัตถุมงคล  เครื่องรางของขลังเพื่อติดตัวออกสนามรบเป็นจำนวนมาก

3.  พระสมเด็จ*****

 

                        ได้มีพิธีพุทธาภิเษกพระสมเด็จ  ที่วัดระฆัง  ในช่วงปี  2515  -  2520  ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเป็นการพุทธาภิเษกพระรุ่นไหน  เพียงแต่พ่อหลวงท่านบอกว่า ท่านได้รับนิมนต์เข้าร่วมพิธีด้วย  ท่านบอกกับผู้เขียนว่า  จำ พ.ศ.ไม่ได้ แต่เป็นช่วงเวลาดังกล่าว  หลังจากเข้าร่วมพิธีแล้ว  พ่อหลวงจึงมีความคิดที่จะสร้างพระสมเด็จบ้าง จึงติดต่อกับโรงงานทำพระและได้สร้างพระสมเด็จขึ้น โดยตั้งชื่อว่า  สมเด็จภัทริยมหาราช มีขนาดค่อข้างเขื่อง

 

                4.   เหรียญรุ่นแรก *****

 

                      สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2518   โดยลูกศิษย์ที่อยู่ในจังหวัดยะลา  เป็นเหรียญรูปไข่เห็นเฉพาะใบหน้า  มีความงามของฝีมือช่างที่แกะแบบพิมพ์ได้เหมือนและสวยมาก  เป็นเหรียญที่ดังเงียบ ๆ  อยู่ในหมู่ลูกศิษย์ท้องถิ่น  มีประสบการณ์มากมาย  แต่คนมองข้ามไม่ค่อยมีใครสนใจ  เพราะพ่อหลวงไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนหลวงพ่อองค์อื่นๆ    แต่ถ้าพูดถึงความเข้มขลังแล้วไม่แพ้ใคร  ผู้เขียนเชื่อว่ายังเก่งกว่าอีกหลายองค์ด้วยซ้ำ  เรื่องนี้ศิษย์ใกล้ชิดในท้องถิ่น และที่อยู่กรุงเทพอีกหลายคนรู้ดี

 

                     ก่อนที่ผู้เขียนจะนำเรื่องราวของพ่อหลวง  มาเสนอต่อท่านผุ้อ่านนั้น  เหรียญรุ่นแรกเนื้อทองแดงราคาอยู่ที่  200 -300 บาทเท่านั้น  แต่หลังจากที่เรื่องของท่านผ่านสายตาพี่น้องชาวใต้ไปแล้ว  ราคาก็ขยับไปถึง 1,000-1,500  บาท  เพราะมีคนต้องการเพิ่มขึ้น  ถึงกระนั้นก็ยังถือว่าราคาย่อมเยาอยู่มากสำหรับเหรียญรุ่นแรกของพระสุปฎิปันโนอาคมขลังอย่างพ่อหลวง   ดังนั้นผู้คนจึงพากันแสวงหามากขึ้น  แต่เนื่องจากจำนวนสร้างน้อย  จึงค่อนข้างหายากในปัจจุบัน

    

 

 

 

 

 

   

  

 

                     ลักษณะเหรียญ

 

                         ด้านหน้า   =  เป็นรูปพ่อหลวงเฉพาะใบหน้า  ด้านล่างเขียนฉายาของท่านอย่างเดียว ว่า      " ภัทริโย  "

 

                        ด้านหลัง     =    โดยรอบขอบเหรียญ มีหนังสือไทยว่า  หลวงพ่อภัทร ภัทริโย วัดโคกสูง  ต.ท่าข้าม  อ.หาดใหญ่  จ.สงขลา 

 

                        ตรงกลางเหรียญ เป็นยันต์พุทธ ปิดล้อม  ล้อมรอบยันต์มีอักขระขอม นะ มะ พะ ทะ อะ

 

                        จำนวนการสร้าง            :     เนื้อทองคำ               5   เหรียญ

 

                                                                  เนื้อเงิน                   67  เหรียญ

 

                                                                  เนื้อนวะ                   12  เหรียญ

 

                                                                  เนื้อทองแดง        5,000  เหรียญ

สำหรับเหรียญเงิน  ได้มีการนำไปลงยาจำนวนหนึ่ง  ไม่ทราบแน่ว่ากี่เหรียญ  โดยลงยาส่วนของจีวรเป็นสีเหลือง  พื้นด้านหลังเป็นสีแดง

5.   เหรียญรุ่น 2 *****

 

                           สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2519   เป็นเหรียญทองแดงรมดำรูปไข่แบบนั่งเต็มองค์  ไม่ทราบจำนวนสร้างแน่นอน  แต่ประมาณได้ว่าไม่เกิน  5,000  องค์

 

   

 

                   6.   เหรียญรุ่น  3*****

 

                             เป็นเหรียญทองแดงกะหรั่ยทอง  สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกในการฉลองพัดยศ  ซึ่งจัดขึ้นในวันที่  1  มีนาคม   2530   สร้างถวายโดย  ส.ส.ไสว  พัฒโน  เป็นเหรียญรูปไข่ครึ่งองค์  ไม่ทราบจำนวนสร้าง

 

                   7.    รูปหล่อขนาดเล็ก *****

 

                             สร้างประมาณปี พ.ศ.2535   เพื่อแจกในงานทอดกฐินของวัดโคกสูง  โดยท่านนายพลแห่งกองทัพบกท่านหนึ่ง  มี  2  แบบ  คือ มีกริ่ง กับไม่มีกริ่ง  ไม่ทราบจำนวนสร้างที่แน่นอน

 

                                    รายการวัตถุมงคล ทั้ง  7  แบบ  ที่ผู้เขียนกล่าวมาข้างต้น  ที่สร้างและแจก ก่อนที่ผู้เขียนจะได้รู้จักท่านพ่อหลวง  ซึ่งถือว่ามีจำนวนน้อยมาก  ภายหลังจากที่ผู้เขียน ได้รู้จักท่านแล้ว  จึงมีการสร้างวัตถุมงคลขึ้นมา  3  -  4  แบบด้วยกัน

 

                          ผู้เขียนอยากเล่าเหตุการณ์บางอย่างให้ท่านผู้อ่านได้ทราบคือ  เมื่อ ประมาณ  2  เดือนที่ผ่านมา  ทางคุณพิเชษฐ  นารถสุกล  เจ้าของร้านถ่ายรูปบนชมรมพระเครื่องมรดกไทย  เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า  มีคนโทร.มาหาเขาและถามว่า   " มีตะกรุดของพ่อหลวงหรือเปล่า "  คุณพิเชษฐ  รู้สึกแปลกใจที่อยู่ ๆ   ก็มีคนมาถามถึงพ่อหลวง  จึงตอบว่า " มี "  ชายคนนั้นจึงขอเช่า พร้อมกับบอกว่า  เขาอยากได้  เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา  เขาได้ไปกราบพ่อหลวงและขอตะกรุดจากท่าน  แต่ท่านไม่ให้  แถมยังดุเอาอีกว่า  " มาขอพร ก็ให้พรแล้ว ยังจะขอโน่นนี่อีก "  คุณพิเชษฐ จึงถามว่า ท่านดุเอา แล้วยังอยากได้ตะกรุดอยู่อีกหรือ  ชายคนนั้นตอบว่า  อยากได้มาก  เพราะผมไปกราบพระมาเยอะแล้ว  เพิ่งเจอองค์นี้ เจ๋งจริง ๆ  และได้เล่าต่อว่า  ก่อนที่เขาจะขอตะกรุด  ได้ขอให้พ่อหลวงปลุกเสกพระที่เขาเตรียมใส่กล่องแสตนเลสและมียางรัดมิดชิด  เขากล่าวว่า  พ่อหลวงรับกล่องพระไป  ท่านก็เริ่มปลุกเสกด้วยเสียงดัง ๆ  คือ  ขอให้พระในกล่องทั้งหมด  ซึ่งประกอบไปด้วย  พระหลวงปู่ทวด  วัดพะโคะ  หลวงปู่ทวดอาจารย์นอง และท่านได้ไล่เรียงไปทีละองค์จนหมดพระในกล่อง  ซึ่งมีอยู่ประมาณ 30  กว่าองค์ มีความศรัทธาอย่างทวีคูณ เพราะพ่อหลวงสามารถกล่าวถึงชื่อพระในกล่องได้ถูกหมดทุกองค์   โดยที่กล่องพระนั้นถูกปิดอย่างมิดชิดรัดด้วยยาง  และในร่างหว่างที่อยู่ที่วัด ไม่ได้เปิดกล่องออกมาดูพระเลย   นี่เป็นที่มาของการอยากได้ตะกรุดของพ่อหลวง  ซึ่งในภายหลังเขาก็อ้อนวอนขอเช่าจากคุณพิเชษฐไปได้  1  ดอก  โดยคุณพิเชษฐนำเงินที่ไปถวายพ่อหลวง

 มีประสบการณ์ที่เกี่ยวกับความเด็ดเดี่ยว  และตบะบารมีของพ่อหลวงอีก 2  -  3  เรื่อง ที่ผู้เขียนอยากจะเล่าให้ฟังคือ

 

                    เรื่องแรก    หลังจากท่านตัดสินใจจะสร้างวัดขึ้นเอง   เนื่องจากความคับแค้นใจที่ถูกกลั่นแกล้ว  รังเกียจ  ท่านจึงมองหาที่ จนกระทั่งมาพบที่ที่เหมาะสม และท่านพอใจมาก  คือที่ตั้งบริเวณวัดปัจจุบัน  แต่ก็ติดขัดด้วยเรื่องของปัจจัย  ซึ่งขณะนั้น  ท่านมีไม่พอจะซื้อที่  ยังขาดอยู่ประมาณสองแสนบาท    ซึ่งเป็นเงินที่ค่อนข้างมากในสมัยนั้น  

 

                   แต่เมื่อตัดสินใจออกมาแล้ว   อย่างที่ชาวบ้านแบบเรา    เรียกกันว่า ไปตายเอาดาบหน้า  ท่านก็ถอยไม่ได้  โดยเฉพาะคนที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว  ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคอย่างพ่อหลวงด้วยแล้ว   เป็นตายก็ยอมไม่ได้  สิ่งที่ท่านคิดขึ้นได้ในขณะนั้นก็คือ   ต้องไปกู้เงิน  แต่จะกู้จากใครละ   ชาวบ้านทั่วไปก็คงไม่มีใครให้กู้  ญาติโยมต่าง ๆ  ที่ท่านพอจะรู้จัก  ท่านก็ไม่อยากไปรบกวนเขา  เพราะไม่รู้ว่าเขาจะมองท่านอย่างไร   ท่านคิดไปคิดมาแล้ว  จึงตัดสินใจว่า   ดีที่สุดคือ  ธนาคาร

 

                 คิดได้ดังนั้นแล้ว  ท่านจึงไปที่ธนาคารแห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่   ก็เป็นเรื่องฮือฮา  และเป็นที่ตกใจของพนักงานธนาคาร    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ผู้จัดการ  เพราะตั้งแต่ทำงานมา  ยังไม่เคยมีพระมาขอกู้เงินไปซื้อที่สร้างวัด   มีแต่คนทั่วไปมาขอกู้เงินไปซื้อที่ปลูกบ้าน  ขนาดชาวบ้านทั่วไป  ไปขอกู้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ    ต้องผ่านขั้นตอนการวิเคราะห์สินเชื่ออย่างละเอียด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของรายได้  ต่อให้หลักประกันคู้มขนาดไหน  แต่ถ้ารายได้ไม่พอผ่อนชำระเงินกู้   หรือดูขณะนั้นแล้วว่าพอ  แต่ที่มาของรายได้ไม่แน่นอน  ธนาคารก็ไม่ให้กู้  

 

                ในกรณีของพ่อหลวง   ทั้งไม่มีหลักฐานรายได้ทางบัญชี   ทั้งไม่มีอาชีพและที่มาของรายได้   ที่สำค้ญคึอ  ไม่มีธนาคารไหนในประเทศไทย   มีนโยบายให้พระกู้เงินไปสร้างวัด  มีแต่ไปขอเงินฝากจากวัดที่รวย     ดังนั้นในกรณีของพ่อหลวง  จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์อะไรสักอย่าง  ทางผู้จัดการธนาคารจึงปฎิเสธ

 

 

                 คำตอบของพ่อหลวงก็คือ  อาตมาต้องกู้ให้ได้  ถ้าไม่ให้อาตมากู้  อาตมาก็จะนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ลุกไปไหน   คำกล่าวของพ่อหลวงทำเอาทุกคนอึ้ง   และวิ่งกันวุ่นทั้งธนาคาร   แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ในวันนั้น  ธนาคารก็อนุมัติเงินกู้ให้กับพ่อหลวง

 

                 ผู้เขียน ซึ่งทำงานธนาคารอยู่   เมื่อทราบเรื่องนี้จากพ่อหลวงก็ยังงง  ที่ธนาคารอนุมัติเงินกู้  เพราะถ้าเป็นผู้เขียน  ก็คงยืนกรานไม่ให้กู้แน่นอนอยู่แล้ว   และต่อมาไม่นาน  พ่อหลวงก็ใช้หนี้คืนหมด  ในท้ายที่สุด  ธนาคารก็ต้องเป็นหนี้ท่าน  คือ ท่านกลายเป็นลูกค้าเงินฝากรายใหญ่ของธนาคารนั้นแต่เพียงธนาคารเดียว  ด้วยความสำนึกในบุญคุณ ที่ท่านมีต่อธนาคารนั้น  ไม่ว่าธนาคารใดจะมาขอเงินฝากจากท่าน ท่านก็ไม่เคยให้

เรื่องที่สอง        เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงเรื่องของความเป็นผู้มีหูทิพย์   ซึ่งเรื่องนี้พ่อหลวงมีอย่างชัดเจนมาก    ดังที่เคยเล่ามาหลายเรื่องแล้ว  แต่อยากจะเรียนเพิ่มเติมอีกสักเรื่องหนึ่ง

 

                       ปกติ ผู้เขียนและภรรยา  เดินทางไปกราบพ่อหลวงเป็นประจำ   ประมาณเดือนละ  2 - 3 ครั้ง  ทั้งนั่งเครื่อง และ ขับรถไปเอง   มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นึกอยากไปกราบท่านมาก  จึงชวนภรรยาไปโดยขับรถยนต์ไปเอง   ออกเดินทางตอนบ่ายวันศุกร์   ขณะอยู่บนสะพานพระราม เป็นเวลาประมาณ  5  โมงเย็น   ภรรยาผู้เขียนถามว่า   เราจะไปถึงหาดใหญ่กี่โมง   ผู้เขียนนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง  จึงตอบว่า   7  โมงเช้า  จากนั้นก็ขับไปเรื่อย  ๆ พอถึง  3  ทุ่ม  เพื่อนร่วมชีวิตและเพื่อนร่วมทางก็หลับไปก่อน  ปล่อยให้ผู้เขียนขับไปคนเดียว  จนเวลาผ่านไปถึงตี  3 ก็ทนไม่ไหว  จำได้ว่าน่าจะอยู่แถว ๆ หลังสวน  จึงแวะเข้าปั๊มเล็ก ๆ ปั๊มหนึ่งซึ่งค่อนข้างเปลี่ยว มีรถบรรทุกจอดอยู่  2  -  3  คัน  เมื่อจอดรถ  ภรรยาก็ตื่นขึ้นมาถามว่า  ง่วงหรือพี่   ถ้าง่วงก็นอนก่อนก็แล้วกัน  จากนั้นก็หลับต่อ  ผู้เขียนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร  ที่จอดรถนอนในที่ไม่รู้จักคุ้นเคย   แต่ความง่วง ทนไม่ไหว  จำเป็นต้องนอน  จึงยกมือขึ้นไหว้พ่อหลวง  แล้วขอให้ท่านคุ้มครอง  จากนั้นก็หลับผลอยไปเลย

 

                       มาสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อตอน  6  โมงเช้า  จึงรีบล้างหน้าล้างตา  เสร็จแล้วขับรถออกทันที เพราะเดิมตั้งใจไว้ว่า    เมื่อถึงหาดใหญ่ เข้าพักโรงแรม อาบน้ำอาบท่า หาอะไรทานแล้ว  จะซื้ออาหารไปถวายเพลพ่อหลวง    ความง่วงจึงทำให้ผิดแผน    แต่ก็ลุ้นว่าจะไปทันเพลหรือไม่   ปรากฎว่า ผู้เขียนกับภรรยา  ไปถึงหาดใหญ่ เวลา  10  โมงเช้า รีบซื้ออาหารแล้วบึ่งรถไปวัดทันที   ปรากฎว่าไปถึงทันเพล  พอไปถึงก็รีบไปกราบท่าน  แล้วบอกว่า  ผมรีบมาไม่ได้แวะโรงแรมเลย ถึงหาดใหญ่แวะซื้อของแล้วตรงมาเลยครับ  พ่อหลวง 

 

                      พ่อหลวงถามผมยิ้ม ๆ  ว่า   ไหนลูกว่าจะมาถึงตี  7   (  7  โมงเช้า )  

 

                      ผมถามท่านว่า  ใครบอกพ่อหลวง

 

                      พ่อหลวงท่านก็ถามผมอีกว่า     แล้วคุณบอกใครบ้างละ

 

                ผู้เขียนและภรรยา  มองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม   ต่างคิดในใจว่า  เราคุยกันอยู่บนสะพานพระราม ที่กรุงเทพ  แต่ท่านได้ยิน  ทั้ง ๆ  ที่อยู่หาดใหญ่

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ   เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่ผมจะไปกราบรู้จักท่านหลายปี   เกิดขึ้นในงานทอดกฐินของวัดโคกสูง   

 

                         เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะกลุ่มคนใจบาปหยาบช้า  ซึ่งมักจะมีในท้องถิ่นที่ห่างไกลความเจริญ  นั่นคือพวกโจรปล้นเงินกฐินของวัด   ซึ่งในงานทอดกฐินของวัดโคกสูงในปีนั้น  ก็มีกลุ่มชายฉกรรจำนวน  4  คน มารอเข้าปล้นเงิน   โดยรอให้รวบรวมเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะปล้น   แต่พ่อหลวงก็ทราบได้ด้วยญาณของท่านแล้ว   

 

                         ชาย  4  คนดังกล่าว  เข้าไปนั่งปะปนกับชาวบ้าน  ซึ่งนั่งกันอยู่เต็มศาลา  เมื่อได้เวลาทำพิธีถวายกฐิน   พ่อหลวงท่านได้รับกฐินจากญาติโยมแล้วกล่าวขึ้นว่า   วันนี้เป็นวันดี  ที่ญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายนำกฐินมาทอดที่วัด   ก็ขออวยพรให้ทุกคน  มีความสุข ความเจริญ   นึกคิดสิ่งใดให้ได้สมความปรารถนา   ขอให้ได้รับบุญกุศลโดยทั่วหน้ากัน   ส่วนคนที่คิดไม่ดี  ก็ขอให้ลุกไปไหนไม่ได้  ฝากแม่พระธรณีไว้ด้วย

 

                          ญาติโยมที่เข้ามาช่วยงานทอดกฐิน  ต่างพากันประหลาดใจ ในคำพูดตอนท้ายของท่าน  แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร   จนกระทั่งได้เวลารับประทานอาหาร  ก็แยกย้ายกันทานอาหารตามปกติ  พ่อหลวงได้ให้ลูกศิษย์นำอาหารไปให้โจร  4  คนนั้นกิน  แต่ไม่ยอมกิน  เอาบุหรี่ไปให้สูบ  ก็ไม่ยอมสูบ  

 

                          จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงตอนบ่าย ประมาณ บ่าย โมง  ญาติโยม คณะกฐินกลับบ้านกันไปหมดแล้ว  เหลือแต่ลูกศิษย์และชาวบ้านแถวนั้นไม่กี่คน  ทุกคนก็พากันเห็นชายแปลกหน้า  4  คนนี้นั่งอยู่   ไม่พูดไม่จา  จึงถามกันไปมาก็เอะใจสิ่งที่พ่อหลวงพูดตอนรับกฐิน   จึงรู้ว่าพวกนี้คือโจรที่ตั้งใจจะมาปล้นเงินของวัดแน่ ๆ   จึงพากันไปหยิบมีด พร้า ขวาน  ถือมาจะฆ่าโจร   พ่อหลวงต้องรีบห้ามปราม แล้วบอกให้กลับบ้านให้หมด   เดี๋ยวพ่อหลวงจัดการเอง   ชาวบ้านจึงหยุดแล้วพากันกลับบ้าน  เหลือเพียงลูกศิษย์  2   -  3  คน

 

                          จากนั้น พ่อหลวง ท่านก็ปฎิบัติภาระกิจประจำวันไปเรื่อย ๆ   ทั้งเก็บกวาด  จัดข้าวของบนศาลา  และกวาดบริเวณวัด   โดยที่ชายทั้ง  4  คนนั้น ยังนั่งอยู่ที่เดิม   ไม่พูดไม่คุย  จนเวลาผ่านไปถึง  6  โมงเย็น  พ่อหลวงจึงมายืนตรงหน้าของชาย  4  คนนั้น   แล้วพูดว่า   ลุกขึ้นได้แล้วลูกบ่าว   เย็นแล้วกลับบ้านเถิด  ชายทั้ง  4  คนนั้นก็ลุกขึ้นยืน ตามคำพูดของพ่อหลวง  เหมือนต้องมนต์สะกด

 

                         พ่อหลวงจึงพาคนทั้ง  4   ออกมาที่ลานวัดหน้าศาลา  แล้วถามว่า  เข้าวัดทำไมต้องพกปืน  ขอพ่อหลวงดูหน่อยสิ   ชายคนหนึ่งจึงชักปืนออกมาส่งให้พ่อหลวงดู   พ่อหลวงรับมาพลิกซ้ายพลิกขวา  ดูอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งคืน  พร้อมกับพูดว่า   ไหนลองยิงให้พ่อหลวงดูหน่อยสิ   ชายคนนั้นจึงชี้ปืนขึ้นฟ้า  แล้วลั่นไก  เสียงดัง  แชะ   แชะ  แชะ......

 

                         พ่อหลวงจึงพูดขึ้นว่า   ปืนใช้ไม่ได้   พกมาทำไม 

 

                         จากนั้นท่านหยิบเงินให้ไปคนละ  100  บาท   บอกว่า ค่ารถกลับบ้าน พร้อมกำชับไปด้วยว่า  ให้ลูกบ่าวทุกคนกลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่   เลือกหนทางทำมาหากินโดยสุจริต  อย่าได้เบียดเบียนคนอื่น  ทั้งหมดรับคำแล้วจากไป

 

                         นี่คือ   อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์   ของพ่อหลวงแห่งวัดโคกสูง   ผู้ทรงพลังจิตเข้มขลัง  สามารถสาปให้โจรร้ายกระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้    เป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าจะมีคนทำได้ในยุคปัจจุบันนี้  แต่เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของคนหลายคน