หน้าร้าน  :  Gallery สินค้า  :  ข่าวสารจากร้านค้า  :  วิธีการชำระเงิน  :  ติดต่อร้าน  :  ประวัติพ่อท่านกลาย  :  โอวาทธรรมหลวงปู่สีมั่น
บอล รัตตภูมิ
ลำดับที่เยี่ยมชม

Online: 108 คน
ยินดีต้อนรับ เข้าสู่ : บอล รัตตภูมิ

รายละเอียดร้านค้า

ชื่อร้านค้า บอล รัตตภูมิ
ชื่อเจ้าของ พระเครื่อง by บอล รัตตภูมิ
รายละเอียด วัตถุมงคลและพระเครื่อง สายใต้ สายหลวงพ่อทวด และพระเครื่องทั่วไป (ยุคกลาง-ยุคปัจจุบัน)
เงื่อนไขการรับประกัน 1.รับประกันพระแท้ 2.เก๊ยินดีคืนเต็ม 3.พระต้องอยู่ในสภาพเดิม 4.จัดส่งไว ได้ของชัวร์ ตรงตามรูป 5.วัตถุมงคลทุกรายการบรรจุหีบห่ออย่างดี ส่งด่วนทาง EMS/FLASH/J&T/KERRY พร้อมแจ้งรหัสพัสดุหลังการส่ง
ที่อยู่ วังไชยา นางเลิ้ง กทม. *** ไม่มีตู้พระหน้าร้าน และไม่รับเช่าพระ ***
เบอร์ที่ติดต่อ 084-055-5405
E-mail เฟสบุ๊คแฟนเพจ : พระเครื่อง by บอล รัตตภูมิ / ID Line : maisaodam / เฟสบุ๊ค : บอล รัตตภูมิ
วันที่เปิดร้าน 31-03-2555 วันหมดอายุ 14-03-2568

ท่านสามารถชำระเงิน ผ่านทางธนาคาร อีแบงค์กิ้ง หรือ ตู้ ATM ตามบัญชี ด้านล่าง

 
ธนาคาร
สาขา
ชื่อบัญชี
เลขที่บัญชี
ประเภทบัญชี
กรุงไทย ยูเนี่ยนมอลล์ลาดพร้าว
นายเพทาย ศิริมุสิกะ 
4770036965 
ออมทรัพย์ 







โอวาทธรรมหลวงปู่สีมั่น
19-12-2555 เข้าชม : 1827 ครั้ง

***--ตอนที่ 4 --***พระเถระผู้ใหญ่ห้ามปราม ข่าวหลวงปู่ศรีมั่นดังเข้าหูพระเถระ ผู้ใหญ่ในจังหวัดสงขลาหลายองค์ ท่านที่ปรารถนาดีต่อ พระศาสนาเกรงว่าท่านอาจารย์ขาว อาจนำให้คนหลงเชื่อผิดผิดงมงาย จะพลอยทำให้ศาสนาและพระสงฆ์เสียศักดิ์ศรีไปด้วย จึงพากันมาดูพฤติการณ์และห้ามมิให้กระทำต่อไป คราวแรกท่านพระครูวีระโศภณ ได้มาถามความละเอียดว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร ต้องการ เห็นตัวจริง เมื่อชาวบ้านนิมนต์ท่านอาจารย์ขาวนั่งเป็นทรงแล้วเชิญหลวงปู่มาประทับทรง หลวงปู่ท่านรู้วาระจิตของพระครูวีระโศภณได้ดีและได้พูดดักใจดักความคิดได้ทุกประการ ทำให้ท่านพระครูวีระโศภณ ไม่อาจกล่าวการอันใดมาเป็นการห้ามปรามพิธีการนี้ได้เลย จึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามเดิม ต่อมา ท่านเจ้าคุณปริญัติญาณมาห้ามอีก แต่อยากเห็นและพบหลวงปู่ศรีมั่นว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อคนเชิญหลวงปู่ศรีมั่นประทับทรงแล้ว ท่านเจ้าคุณปริญัติญาณ ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นเจ้าระเบียบและเจ้าธรรมะ ได้ทดลองถามปัญหาธรรมหลวงปู่หลายเรื่อง ซึ่งหลวงปู่ตอบปัญหาแบบนักปราชญ์ ซึ่งต้องเป็นที่เหลือปัญญาของท่านอาจารย์ขาว องค์ทรงจะตอบออกมาเองได้ ซึ่งปัญหามากมายและลึกซึ้ง ผู้เขียน ไม่อาจจำคำถามคำตอบของสองบัณฑิตไว้ได้ ตอนท้ายของปัญหาธรรม หลวงปู่ถามถึงยศศักดิ์ตำแหน่งของพระสงฆ์คำถามคำตอบพอสรุปได้ว่า ยศคือสิ่งที่คนอื่นเขายกให้ เขาแต่งตั้งให้เขาพระราชทาน แล้วหลวงปู่ย้อนถามว่า ยศ อะไรที่ไม่มีใครตั้งไม่มีใครถอด ท่านเจ้าคุณถึงกับนิ่งอั้นอยู่ชั่วขณะแต่โดยวิสัยบัณฑิต ท่านก็แก้ปัญหาไปได้ แม้ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็พอมีส่วนได้ แล้วหลวงปู่ได้กล่าวเพิ่มเติมเป็นที่น่าจับใจว่า “ลูกเอ๋ย อริยยศ คือ ยศอันสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแต่งตั้งไว้เพียง ครั้งเดียว จากนั้นไม่มีการแต่งตั้งอีก บุคคลใดสามารถบำเพ็ญตนปฏิบัติตามพระธรรมเข้าขั้นอริยธรรมได้ ก็ชื่อว่ายกระดับจิตของตนเข้าสู่อริยยศ ยศอันนี้ตนเองแต่งตั้งโดยตนเองตามที่สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงประทานไว้ อีกทั้งไม่มีอำนาจใดหรือบุคคลใดจะมาถอดถอน บังคับขับไล่ให้หลุดพ้นไปจากยศอันนี้ ได้เลย ลูกเอ๋ย ลูกที่ได้รับยศตำแหน่งแล้วก็ดี ที่ยังไม่ได้รับยศ ตำแหน่งก็ดี ลูกจงพากันแสวงหาอริยยศ กันเถิดลูกแล้วลูกจะมีความสุขยิ่งกว่าได้รับยศตำแหน่งใดใดทั้งสิ้น” จนที่สุด พระราชรัตนะโมลี เจ้าคณะจังหวัดสงขลาเป็นธุระมาห้ามปรามพิธีการประทับทรงอีก แต่ก็อยากจะเห็นอาการและพบปะพูดจาในขณะที่อาจารย์ขาว ประทับทรงโดยหลวงปู่ คราวนี้เหมือนดัง ศักดิ์สิทธิ์พบกับศักดิ์สิทธิ์ หลวงปู่ศรีมั่น ท่านทราบดีด้วยญาณของท่านเองว่า ท่านเจ้าคุณพระราชฯ นอกจากมีความรู้มีพระธรรมะแล้ว ท่านยังจะมีมนต์คาถา อาคมขลัง ทรงวิทยาคุณอีกด้วย เมื่อถึงเวลา พบกันหลวงปู่ได้บอกแนะนำให้กับท่านเจ้าคุณราชฯได้เรียนต่อมนต์บางบท ซึ่งตัวเจ้าคุณฯ ได้เรียนไว้ให้ได้สมบูรณ์ละเอียดพิสดาร มีความขลังวิเศษศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นไปอีก อีกทั้งแนะนำการกระทำวัสดุอาถรรพณ์ ที่ยังบกพร่องให้สมบูรณ์ โดยบทมนต์ คาถา วิทยาคมต่างๆ ที่ท่านเจ้าคุณราชฯ ได้เรียนมาจากใคร สำนักไหน มีการประกอบกระทำพิธีการอย่างไร หลวงปู่ท่านสามารถบอกได้ถูกต้องทุกประการแถมยัง แนะนำให้ดีขึ้นไปอีก เช่น เรื่องที่มีชื่อเสียงมากของท่านเจ้าคุณฯ เป็นที่รู้กันดีของชาวเมืองสงขลา เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นยกพลขึ้นเมืองสงขลา เครื่องบินทิ้งระเบิดลงเมืองสงขลา ระเบิดที่ตกลงในวัดแหลมทรายเป็นจำนวนมาก ไม่อาจระเบิดแตกออกได้เลย ด้านหมดทุกลูก เมื่อวันอาทิตย์ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ซึ่งด้วยอำนาจของวัสดุอาถรรพณ์ที่ท่านเจ้าคุณราชฯ ท่านสร้างฝังไว้ในบริเวณจุดต่างๆของวัด และอำนาจพลังจิตที่เจ้าคุณฯ ได้ภาวนาผสานไปด้วย ทำให้ระเบิดทุกลูกด้านหมด แม้แต่เรื่องนี้หลวงปู่ท่านก็บรรยายออกมาเป็นเรื่องราวได้ถูกต้องตรงกับที่ท่านเจ้าคุณราชฯ ได้กระทำไว้ในคราวนั้นทุกประการ เป็นอันว่าท่านเจ้าคุณราชรัตนโมลี เจ้าคณะจังหวัดสงขลา ก็ได้รับอาคมขลัง และมนต์คาถา วิทยาคม ไปจากหลวงปู่ศรีมั่นเป็นการเพิ่มเติมไปอีก ภายหลังท่านเจ้าคุณฯ บอกผู้เขียนว่า มนต์ต่างๆ ที่หลวงปู่ให้ไปนั้นเมื่อนำไปทำตามแล้วปรากฏว่าขลังวิเศษจริงๆ ชุมนุมคณาจารย์ไสยเวทย์ ขณะที่มีชื่อหลวงปู่ศรีมั่นตาทิพย์หรือใจทิพย์ ฟุ้งขจรไปนั้น บรรดาท่านผู้ทรงวิทยาคม เป็นอาจารย์ ผู้ขมังเวทย์ได้พากันมาจากทิศต่างๆ เพื่อพิสูจน์และศึกษาเป็นจำนวนมาก เช่น อาจารย์คง อาจารย์ชุม ไชยคีรี พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช คุณพ่อชุมฯ อดีตเลขาของพระมหาวชิรญาณวงศ์ โดยการไปหาหลวงปู่นั้นอาจารย์ชื่อดังเหล่านั้นมีอาการเข้าไปหาต่างๆ กัน บางคนไปหาอาจารย์ขาวก่อนหลวงปู่ประทับทรง แต่ก็ไม่ได้แสดงตนให้ผู้ใดทราบเลยว่าตนเป็นใคร บางคนไปอย่างเงียบๆ ซุกตน อยู่ในหมู่คนคอยดูอยู่ โดยไม่ให้อาจารย์ขาวและพระภิกษุสามเณรองค์อื่นๆ ได้ทราบ ในเมื่อหลวงปู่ มาประทับทรงเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เรียกอาจารย์ต่างๆ เหล่านั้นเข้าไปหาท่าน โดยที่พวกที่ไปนั้นไม่รู้ตัว มาก่อนเลยว่าจะถูกหลวงปู่เรียกหา ซึ่งแต่ละคนนั้นใครศึกษาวิทยาคมมาจากอาจารย์ไหน สำนักใด มีวิชาอะไรบ้าง ท่านเรียกขานออกมาได้ถูกต้องทุกๆ คน และท่านบอกว่า หลวงปู่รู้จักบรรดาอาจารย์ของลูกดี ทำเอาบรรดาคณาจารย์ผู้ขมังเวทย์ เหล่านั้นหมดข้อสงสัย กังขาในหลวงปู่ พากันตั้งใจศึกษาวิชา จากหลวงปู่ต่อไปอีก ของขลังหรือกำลังภายใน ในเมื่อใครๆ ก็สนใจไสยศาสตร์ ต่างก็ได้ของขลัง เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ เป็นต้น ต่างก็ขอร้องหลวงปู่ให้ช่วยสงเคราะห์ทำให้แก่ลูกหลานด้วย ท่านจึงสั่งให้ผู้เขียนๆ บทมนต์ตามที่ท่านบอกให้และ แนะนำให้ลงเป็นตัวยันต์ มีรูปลักษณะที่ท่านกำหนดแล้ว บอกให้ชวนพรรคพวกที่มีความสามารถ ช่วยกันทำ หลวงปู่จะเป็นประธานและทำการปลุกเสกให้ ผ้ายันต์ ชนิดแรกเมื่อทำเสร็จแล้ว แจกกันไปไว้บูชาประจำบ้านสามารถป้องกันภัยอันตรายได้ คนที่มาร่วมพิธีได้นำผ้ายันต์นั้นไปให้คนจีนในตลาดผืนหนึ่ง จีนคนนั้นก็นำเอาบูชาไว้ ผ่านไปไม่กี่คืนมีโจรเข้าไปงัดแงะฝาบ้านเขาไปรื้อข้าวของต่างๆ ออกมาวางไว้มาก กำลังจะลำเลียงออกจากบ้าน จีนเจ้าของบ้านนอนอยู่ชั้นบน ปรากฏมีพระภิกษุชรามาเขย่าร่างของจีนคนนั้นให้ตื่น และบอกว่าโจรกำลังจะขนของ ออกจากบ้าน ให้รีบไปไล่พวกโจรเถิด ท่านจะรักษาความปลอดภัยให้ เจ้าของบ้านจึงรีบลุกขึ้นเดินลงไป ยังชั้นล่างเห็นพวกโจรกำลังขนของออกไปวาง ตรงที่มันตัดช่องเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงต้องตะโกนขึ้นว่า โจรบุกเข้ามาในบ้านขโมยข้าวของ พวกโจรพากันตกใจหนีเตลิดกันไปหมดโดยไม่ได้ข้าวของไปเลย แม้แต่ชิ้นเดียว นับแต่นั้นมาบรรดาเจ๊กจีนก็พากันยกโขยงเข้าหาหลวงปู่เป็นจำนวนมาก บางคนที่มีศรัทธาในคำสอนธรรมะของหลวงปู่ก็กลายเป็นนักบุญ นักปฏิบัติดีมีปฏิปทา เช่นสาธุชน อันว่าไสยศาสตร์เป็นศาสตร์ลี้ลับสำหรับคนธรรมดา คู่โลกศาสตร์หนึ่งมาแต่โบราณกาลแล้ว รุ่งเรืองอยู่ในศาสนาพราหมณ์ บรรดาพราหมณ์ผู้เจนจบในไตรเพท ได้ชื่อว่าพราหมณ์ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยความรู้ โดยความรู้หรือวิชา ๓ ประการของ พราหมณ์ ได้แก่ ๑. ฤคเวท เป็นคัมภีร์คำฉันท์ใช้อ้อนวอนและสรรเสริญพระเจ้าและเทพเจ้าต่างๆ ๒. ยชุรเวท เป็นคัมภีร์คำร้อยแก้วใช้สาธยายในเวลาบวงสรวงในพิธีการต่างๆ ๓. สามเวท เป็นคัมภีร์คำฉันท์ใช้ในการสวดทำพิธีถวายน้ำโสม ต่อมาพวกพราหมณ์ได้เพิ่ม อถรรพเวท ขึ้นอีกรวมเป็น ๔ อถรรพเวทนี้ เป็นการใช้อาคมคาถาเรียกร้องผีสางช่วยให้พ้นภัยหรือสาปแช่งต่างๆนาๆ ผู้เขียนเคยถามหลวงปู่ศรีมั่นว่า “ในเมื่อเรานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ทำไมจึงต้องเรียนไสยศาสตร์เล่า” ท่านตอบน่าฟังน่าคิดว่า “ไสยศาสตร์ที่เป็นอถรรพเวทนั้นไม่ใช่ของพราหมณ์แท้ๆ แต่ดั้งเดิม หากแต่เป็นแขนงหนึ่ง ของพราหมณ์เท่านั้นและผู้ถือพุทธศาสนานั้น พระอริยเจ้าทั้งหลายกว่าท่านจะได้ปฏิสัมภิทา ต้องสะสมปฏิสัมภิทามาช้านาน ดังเช่น การแตกฉานในภาษาศาสตร์ ท่านเคยเกิดมาแล้วกี่ชาติก็ต้องศึกษาตลอดมาทำให้เป็นอุปนิสัย และวาสนาสืบต่อมาหลายภาษาจนชาติสุดท้าย ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพก็มีสติระลึกได้ถึงภาษาศาสตร์ที่ท่านเคยศึกษามาอย่างดีจากชาติต่างๆ ในอดีต แม้ผู้ได้อภิญญาท่านก็ต้องฝึกฝนอบรมจิตชักช้านานหลายชาติ หลายสมัย โดยแต่ละชาติท่านเคยรวบรวมพลังจิตแสดงฤทธิ์อำนาจมาตั้งแต่ชาติ ที่มีพลังจิตอ่อนก็เริ่มแสดงฤทธิ์ได้เล็กน้อย ด้วยเป็นอุปนิสัยวาสนาเคยทำมาจนชิน มาถึงชาติสุดท้าย ท่านรวมอำนาจจิตได้ด้วยพลังพระอรหันต์ ก็สามารถแสดงได้ดีที่สุด ส่วนไสยศาสตร์ก็เป็นทั้งอิทธิวิธี และมโนมยิทธิ แม้ผู้ที่เรียนบทมนต์ของไสยศาสตร์แต่ขาดเสียซึ่งสมาธิ ก็ไม่อาจสามารถบรรลุความสำเร็จในการทำบทมนต์นั้นได้ ฉะนั้นผู้ฝึกหัดอบรมจิตเพื่อให้เกิดความชำนาญจนสามารถหาวิธีการต่างๆ ขึ้นมาช่วยในการอบรมจิต ให้เป็นสมาธิและเกิดพลังงานได้ง่ายเข้า จึงเกิดเป็นไสยศาสตร์ทางอถรรพเวทขึ้นมา ทั้งจะนำผู้ที่ยังไม่เกิดศรัทธาให้เกิดมีศรัทธาขึ้นด้วยฤทธิ์ และอำนาจทางใจ ทั้งเป็นวิธีการฝึกนิสัยของศิษย์ให้เชื่อฟังและเคารพครูบาอาจารย์ และอาจารย์ก็จะสามารถฝึกหัดเขาให้มีจิตสงบ มั่นคง ตั้งมั่นอยู่ใน ศีลธรรม เพราะพยายามรักษาความดีที่ได้มาแล้วไม่ให้เสื่อม” แล้วหลวงปู่ก็ได้ย้อนถามพวกเราว่า “เข้าใจไหมลูก” ด้วยเหตุนี้กระมังที่อาจารย์ไสยศาสตร์ทั้งหลายปิดบังมนต์ขลังที่ตนเคยเรียนเคยทำมาแล้ว ได้ผลดี แต่ไม่ยอมบอกให้สานุศิษย์ เคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่พูดยอมพาตายไม่ยอมให้ลูกหลาน ลูกศิษย์ เขาว่าให้มันมันก็รักษาไว้ไม่ได้ อาจารย์ทุกๆท่านกว่าจะให้มนต์ขลังอันเป็นที่รักที่เชื่อถือแก่ศิษย์นั้นแสนยาก ในเมื่อเข้าท่าเข้าทีก็ให้ง่ายๆ ผู้เขียนเคยไปขอมนต์ขลังจาก หลวงพ่อแดง วัดวิหาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครั้งแรกท่านไม่ยอมให้ โดยท่านพูดว่าท่านเคยศึกษามาจากอาจารย์ และครั้งหนึ่งท่านเขียนมนต์ขลัง ซึ่งท่านเองเคยทำได้ผลมาอย่างดี ให้กับคนๆ หนึ่ง เมื่อเขาเอาไปบ้างมนต์ไม่ขลัง เขากลับด่าว่าและติเตียนหลวงพ่อ จากนั้นท่านก็ไม่ยอมให้บทมนต์กับใครแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ทำให้ผู้เขียนนึกได้ว่า เรายังจัดไม่ถูกต้องแบบศิษย์มีครู จึงไปจัดดอกไม้ ธูปเทียนเครื่องสักการะมาถวายหลวงพ่อแล้ว ขอสมัครตัวเป็นสานุศิษย์อย่างถูกต้องตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หลวงพ่อก็ยินดีรับไว้เป็นศิษย์และบอกบทมนต์ให้ แล้วนำมนต์ขลังนั้น ไปปลุกเสกประสิทธิ์ตามอาจารย์ คือ หลวงพ่อที่สอนให้สมปรารถนาดังนั้นมนต์ขลังจึงต้องปิดบังกันไว้ ถ้าเปิดเผยจะไม่ดี ดังบาลีที่มีมาในติกนิบาตร อังคุตตรนิกาย หน้า ๓๖๔ ว่า “อิมานิโข ภิกฺขเว ตีณิ ปฏิจฺฉนฺนานิ วหนฺติ โนวิวฎานิ มาตุคาโม พราหมณานํ มนฺตํ มิจฺฉาทิฎฐิ” แปลความเป็นภาษาไทยว่า ภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้ง ๓ เหล่านี้ คือ มาตุคาม ผู้หญิง (ซ่อนดีอวดไม่ดี) มนต์ของสมณพราหมณ์ (ปิดไว้ขลัง) ความเห็นผิด (ควรปิดให้สนิท) ปกปิดไว้จึงดีงาม ถ้าเปิดเผยหาดีไม่ อนึ่งอาจารย์ทุกๆ อาจารย์ย่อมแนะนำให้ศิษย์ ตั้งใจให้แน่แน่วเป็นสมาธิแล้ว อธิษฐานจิต เสกมนต์ บางทีสอนให้กำหนดคาบ(จบ) กำหนดปราณ (อานาปานัสสติ) กำหนดกสิณ และอารมณ์ กัมมัฎฐานต่างๆ ก่อนทำมนต์ ดังบทประพันธ์ย่อๆ ว่า การปลุกเสกเลขยันต์พันธ์อักษร จะขีดเขียนเรียนรู้จากครูก่อน ความรู้อ่อนทำไม่ขลังดังอาจารย์ อีกจิตใจให้มีสมาธิตั้ง กำหนดนั่งปลงจิตคิดกัมมัฎฐาน พร้อมทั้งมีปัญญาปรีชาชาญ อภิญญาณ สัจจะ อธิษฐาโน บรรจุตัวเลขยันต์พันธ์อักขระ ลงองค์พระ สูรย์จันทร์ สัลเลโข ทั้งรู้จักประเภทเหตุยันโต จตุโรพรหมพักตร์ตามหลักยันต์ ทั้งสามมุมหรือกลมประถมบท จงกำหนดฝึกหัดแจงจัดสรรพ์ เรียกมนต์ดลคาถาประชุมกัน ทุกเภทพันธ์ประจุธาตุทั้งตัวเป็น อีกมนต์ปลุกหินลับอาคมวิเศษ ตรีสังเกตแบบครูควรรู้เห็น รู้ความเคี่ยวลมปราณมนต์ร้อน-เย็น รู้จักเว้นรู้จักเติมเสริมตำรา เมื่อทำเสร็จจะทดลองของศักดิ์สิทธิ์ อย่าทำจิตประมาทขาดปัญหา จะลองได้ใช่ใช้เล่ห์เสมารยา เห็นดีแท้แต่ว่าอย่าวางใจ คนใช้ของบางทีคนดีด้วย ยิ่งจะช่วยเสริมฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ ถ้าคนใช้ไร้ศีลธรรมประจำใจ ทำเหลวไหลเสื่อมตนดลเสียการ จะทำให้คลายขลังมนตังเสื่อม อย่าอาจเอื้อมอวดโอ้โม้คำขาน ไม่ประมาทคงไม่ตายได้รอดปราณ ศิษย์อาจารย์ก็จะดีวิเศษเอย เมื่อท่านได้อ่านได้ฟังเรื่องนี้แล้ว ผู้เขียนขอเชิญท่านได้พิจารณาความจริงอันใกล้เคียงที่ว่า ปัจจุบันมีคนจำนวนมาก ที่เคารพเชื่อมั่นบุคคลบางคน ซึ่งเขายกย่องกันว่าอาจารย์บ้าง หลวงพ่อบ้าง หลวงปู่บ้าง บางบุคคลที่เขายกย่องนั้นเป็นฆราวาสครองเรือน แต่ผู้เป็นศิษย์ก็ยังเคารพเชื่อมั่นในอาจารย์ว่าขลัง ผู้เป็นศิษย์ย่อมเคารพทั้งต่อหน้าและลับหลัง อาจารย์จะสั่งสอนอย่างไรก็ปฏิบัติอย่างนั้น ทั้งใน ทางฝ่ายที่ผิดและในทางที่ถูก แต่อาจารย์ส่วนมากร้อยคนทั้งร้อยคน ในเมื่อจะประสิทธิ์ประสาทวิทยาคม หรือเครื่องรางของขลังให้กับศิษย์ ย่อมประสิทธิ์ประสาทตีหลังสั่งสอนไม่ให้เอาไปใช้ในทางผิดกฎหมาย ไร้ศีลธรรม ให้เรียนไว้มีไว้เพื่อป้องกันตนเอง เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยกว่านั้น “ดีวิเศษหาค่ามิได้ หรือตีราคามิได้” เป็นของดีของวิเศษแต่ทำไมหาค่ามิได้ หรือตีราคามิได้ ท่านผู้รู้อธิบายว่า มีค่าสุดที่จะประมาณ ดังตัวอย่างเช่น สมัยสงครามอินโดจีน เมื่อสงครามระหว่างไทยกับฝรั่งเศสได้ระเบิดขึ้น มีการปะทะกันด้วยอาวุธปืน ฝรั่งเศสยิงทหารไทย บางครั้งยิงไม่ออกถ้าออกก็ไม่ถูก ถึงจะถูกแต่ก็ไม่เข้าระคายผิวหนังทหารไทย แม้ว่าจะถึงขั้นประจัญบานตะลุมบอนกระแทกแทงฟาดฟันกันด้วยดาบ ติดปากกระบอกปืนแต่ก็แทงไม่ถูก แทงไม่เข้า ทหารไทยปลอดภัย จนได้นามพิเศษว่า “ทหารเทวดาหรือ ทหารผี” เพราะฆ่าไม่ตาย ทั้งนี้เพราะทหารไทยมีเครื่องรางของขลัง พระผงบ้าง พระเหรียญบ้าง ตะกรุด ผ้ายันต์ ภาวนามนต์บ้าง ล้วนแต่เป็นสิ่งวิเศษที่หาค่ามิได้ทั้งนั้น ถ้าจะเทียบราคาค่างวดกันแล้ว ก็ต้องตีราคาชีวิตของแต่ละคน แล้วใครบ้างที่จะบอกราคาตนเอง ร้อยบาท พันบาท แม้เงินล้านก็ไม่มี ความหมายอะไรกับคนตาย แต่ถ้าใครทำได้ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย แม้เสียเงินหลายล้านก็เป็น เรื่องเล็กเฉพาะคนรวยเงิน ผู้เขียนถามหลวงปู่ศรีมั่น ว่า “ทำไมบางคนมีของขลัง แล้วต้องตายด้วยศาสตราวุธเล่า” ท่านตอบว่า “ขึ้นชื่อว่าแรงกรรม ไม่มีอะไรจะเป็นเครื่องป้องกันได้ ลูกเคยรู้หรือว่าใครสร้างกรรมอะไรมา ในสมัยไหนชาติไหน ส่วนผู้ที่มี่แรงบาปกรรมตามสนอง ในเมื่อมีคุณมีของป้องกันก็ย่อมปลอดภัย ไม่ต้องเจ็บไม่ต้องตาย ในการที่ไม่ควรเจ็บไม่ควรตายจะเจ็บจะตายต่อเมื่อกาลสมัยแห่งอายุขัยก็เป็นธรรมดาของสังขาร” แล้วท่าน เตือนต่อไปว่า “ลูกเอ๋ย คนที่กำลังลอยคออยู่ในแม่น้ำ หรือกลางทะเลลึก ในเมื่อไม่มีแพนาวาใดๆ มีแต่ ซากศพ หรือท่อนไม้ผุลอยน้ำมา ลูกจะไม่เกาะซากศพหรือไม้ผุท่อนนั้นเพื่อพยุงให้ลอยตัวได้หายใจรอดชีวิตละหรือ หรือว่าลูกจะยอมให้ตัวเองจมน้ำตาย ลูกเอ๋ยเรายังไม่ถึงฝั่งนิพพาน ลูกจงหาธรรมเป็น เครื่องเกาะพยุงลอยตัว เรายังมีชีวิตจงหาเครื่องป้องกันตัวไว้บ้างดีกว่าตาย เพราะร่างกายที่ตาย โดยปราศจากชีวิตไม่มีประโยชน์อะไรเลย การมีชีวิตอยู่ย่อมมีโอกาสบำเพ็ญประโยชน์ได้ทุกอย่าง (ทาน ศีล ภาวนา) ในเมื่อมีของป้องกัน แต่กรรมเก่ามาทวงหนี้เวรหนี้กรรม ใครจะหลีกเลี่ยงหนีได้อย่างไรได้ ถ้าเราไม่มีหนี้เราจะยอมเสียเงินหรือชีวิตไปเปล่าๆ หรือลูก” นี่เป็นคำตอบและคำย้อนถามของหลวงปู่ หลวงปู่ใช้อุบายอันฉลาด ปลุกใจประชาชนให้เชื่อไสยศาสตร์ เมื่อคนเชื่อปรารถนาจะเรียนวิชาและของขลังจากท่าน ท่านสอนให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณพระรัตนตรัยให้รับศีลมีธรรมเสียก่อน จึงบอกมนต์และมอบของขลังให้ เมื่อให้แล้วท่านสั่งกำชับไม่ให้นำมนต์ขลัง ของขลังไปประกอบวิธีการทำร้ายรุกรานคนอื่นให้เดือดร้อน ถ้าฝ่าฝืนของนั้นจะเสื่อมใช้การไม่ได้ ซ้ำร้ายกับเป็นความวิบัติฉิบหายเป็นภัยเข้ากับตนเองเสียอีก ทั้งใช้วาจาปลุกใจด้วยว่า ถ้าต้องการให้มนต์ขลังและของขลังทวีดียิ่งขึ้นเรื่อยๆก็ต้องเป็นผู้มีศีล ไหว้พระสวดมนต์ ทำสมถกัมมัฎฐานและวิปัสสนากัมมัฎฐานเป็นประจำบ่อยๆ หรือทุกวัน อุบายวิธีทำให้ดาวค้างฟ้าปลาหลงเหยื่อของหลวงปู่ศรีมั่นนั้นทำให้ประชาชนหลั่งไหลเข้าฟัง คำสอนของท่านและศึกษาวิทยาคมจากท่านอย่างล้นหลาม คืนหนึ่งหนึ่งมีประชาชนมาฟังธรรมจากสารทิศต่างๆ ทั้งใกล้ไกลไทยจีนจำนวนเป็นร้อยเป็นพัน จนผู้เขียนต้องคอยจัดให้ประชาชนได้เข้าไปหาท่าน เป็นระเบียบ เป็นพวกพวกหมู่หมู่โดยทั่วถึงกันด้วยความเป็นธรรม เวลาที่หลวงปู่จะมาประทับทรง ก็ ๒๒.๐๐ น. ล่วงไปแล้ว ฉะนั้นคนที่มาหาท่านต้องรอคอย การรอคอยก็ไม่เสียประโยชน์ เพราะเริ่มตั้งแต่ ๒๐.๐๐ น. ประชาชนเข้าประชุมกันที่อุโบสถและที่หอประชุมอีก เพราะอาคารหลังเดียวไม่พอจึงจัดเป็น ๒ แห่ง ก็จัดให้ไหว้พระสวดมนต์ รับศีล ฟังธรรม ปฏิบัติสมถกัมมัฎฐาน วิปัสสนากัมมัฎฐาน กันเสียก่อน ภายในเวลาไม่น้อยกว่า ๒ ชั่วโมง ผู้เขียนก็ต้องทำหน้าที่ เป็นขันแทนไก่ไปทุกคืน เพราะตนเองไม่ใช่ นักเทศน์นักอบรม และไม่ใช่อาจารย์สอนกัมมัฎฐาน แต่ต้องทำเพื่อสนองน้ำใจและฉลองศรัทธาประชาชน ไปก่อนกว่าหลวงปู่มาประทับทรงร่างอาจารย์ขาว เมื่อหลวงปู่ประทับทรงแล้วก็เป็นหน้าที่หลวงปู่จะอบรมศีลธรรม และบอกมนต์บอกยาตามหน้าที่ของท่าน ขณะที่หลวงปู่อบรมคนที่ในสถานที่นั้นจำนวนพัน ก็ไม่ต้องใช้เครื่องขยายเสียง เพียงท่านพูดเบาเบาก็ได้ยินกันทั่วกัน เพราะคนทั้งหมดจำนวนพันนั้น ต่างก็นั่งเงียบเหมือนคนไม่มีปาก จะมีปากเฉพาะคนที่ถามปัญหาจากท่าน หรือคนที่มาใหม่เข้าไปไต่ถามท่านในเรื่องที่จำเป็นจริงจริง ส่วนเรื่องที่ไม่จำเป็น แม้ใครจะเข้าไปถามท่านท่านจะบอกเสียก่อน ที่คนถามจะออกปาก ถามท่าน เสียอีกว่า เรื่องนั้นลูกไม่จำเป็นจะต้องมาถามหลวงปู่ เพราะเป็นความลับมาก หรือบางเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย เกี่ยวกับความลับที่เป็นภัยกับคนอื่นท่านจะไม่ยอมบอกเลย ใครไปขืนให้ท่านบอก ท่านจะแฉ เรื่องจริงออกกลางคนเดี๋ยวก็จะขายหน้าคน จึงว่าความลับส่วนตัวไม่มีใครกล้าถาม ของขลังอันพิเศษ ครั้งแรกแรกมีคนตำหมากมาถวาย ท่านเสกแล้วก็ฉันอมไว้ในปาก พวกยานุศิษย์ก็ขอชานหมากจากท่านท่านก็ให้ไป เขาเอาไปกันแล้วก็เก็บบูชาไว้บนหิ้งที่บูชาพระเพียงไม่กี่วันต่อมา ชานหมากนั้นกลายเป็นก้อนทองแดงไปบ้าง บางรายกลายเป็นเหล็กไปบ้าง เอาไปฝนทาแก้พิษสัตว์กัดต่อยหายเป็นปลิดทิ้ง ทำให้คนทั้งหลายจ้องแย่งชานหมากกันเข้าอีกแล้ว ท่านจึงบอกเลิกไม่ฉันหมากอีกต่อไป น้ำพุทธมนต์ หลวงปู่บอกว่าวันนั้นเป็นวันดี จะทำน้ำพระพุทธมนต์ให้ คนทั้งหลายต่างก็พากันมารอคอยกันอย่างเนืองแน่นเพื่อรอรับน้ำพระพุทธมนต์ ก่อนจะทำน้ำพระพุทธมนต์ หลวงปู่ได้เรียกคนให้มาดูมือท่าน โดยแบฝ่ามือออกให้ดูว่ามีอะไรอยู่บ้าง แสงตะเกียงเจ้าพายุสว่างไสวเจิดจ้ามองเห็นได้ชัดเจนแถมแสงจากไฟฉาย รวมพุ่ง ซ้ำซ้อน เข้าไปอีกหลายกระบอก สายตาตั้งหลายร้อยคู่มาจับจ้องมองอยู่ในฝ่ามือของท่าน ก็เห็นแต่ฝ่ามืออันขาวสะอาด เพราะร่างทรงผิวขาว เมื่อทุกๆ คนที่ดูอยู่บอกยอมรับว่าไม่มีอะไรแล้ว ท่านก็ประนมมือไหว้พระแล้ว บริกรรมเพียงครู่เดียว ท่านก็แบฝ่ามือทั้ง ๒ ข้าง ออกคนดูอีก และท่านบอกอีกว่า “ใครเห็นอย่างไรให้จดเอาไว้” คนจำนวนมากต่างก็เห็นอักขระปรากฏในฝ่ามือของร่างทรงเหมือนรอยสักที่ติดอยู่ตามผิวเนื้อของคนลาวคนเขมร แต่ว่าคนจำนวนมากคัดลอกอักขระในฝ่ามือของคนคนเดียวกันได้อักขระไม่เหมือนกับ อักขระที่ผุดขึ้นในฝ่ามือนั้นเป็นอักษรขอม และเหมือนอักษรในรูปยันต์ต่างๆ ผู้ที่จดไว้ส่วนมากก็เป็นอาจารย์ไสยศาสตร์ซึ่งชำนาญเขียนอักษรขอมเพราะเป็นคนรุ่นคุณปู่คุณตาก็มีมาก เฉพาะตัวผู้เขียนนั่นอยู่ใกล้ๆ หลวงปู่จึงมีโอกาสคัดลอกได้อักขระมาพอเป็นตัวอย่างให้ดู *****โปรดติดตามตอนที่ 5*****


หน้าหลัก  ข่าวสารจากร้านค้า  วิธีการชำระเงิน  ติดต่อร้าน  ประวัติพ่อท่านกลาย  โอวาทธรรมหลวงปู่สีมั่น  ผู้ดูแล
Copyright©2024 zoonphra.com/amulet
Powered by อ้น ระโนด